วันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2557

ใช้ผิวหนังมองแทนดวงตา พลังลี้ลับของคนป่าแห่งซามัว

ซามัว เป็นประเทศที่ประกอบด้วย หมู่เกาะอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ ชาวซามัวเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับอิทธิพลมาจากอารยธรรมโบราณของ "อาณาจักรมู" ซึ่งเป็นอารยธรรมเก่าแก่ในยุคกำเนิดมนุษย์คนแรก ซึ่งเป็นอาณาจักรที่ได้เคยมีความเจริญสูงสุดในเรื่องของศาสนาหลักคำสอนและความก้าวหน้าในเรื่องดาราศาสตร์ และพลังแห่งจักรวาล
แผนที่โบราณซึ่งเชื่อว่าเป็นที่ตั้งของอาณาจักรมู
อาณาจักรมู หรือ นี้มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า "อาณาจักรแห่งดวงอาทิตย์" ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่มหาสมุทรแปซิฟิก และได้จมลงสู่ท้องทะเลเมื่อประมาณ 11,500 ปี ที่ผ่านมา การเผยแผ่อิทธิพลคำสอนในเรื่องของศาสนา ดาราศาสตร์ สิ่งก่อสร้างต่างๆ ของอาณาจักรมู ถูกนำเข้ามาทางพม่า อินเดีย ไอยคุป ธิเบต จีน ญี่ปุ่นและอาณาเขตกระจายโดยรอบของอาณาจักรมู (สามารถติดตามอ่านเรื่องอาณาจักรมูได้ในกระทู้อื่น) ก่อนหน้านี้หลายปีมีรายงานมาว่า ในซามัว มีชาวซามัวที่เป็นคนตาบอดสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้ โดยมองผ่านทางผิวหนังของเขา รายงานนี้ถูกหัวเราะเยาะเย้ยหยัน และมองว่าเป็นเรื่องตลกขบขันของนักวิทยาศาสตร์และประชาชนส่วนใหญ่ เพราะคิดว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ในหลักความเชื่อของบรรดานักวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้น รายงานต่อไปนี้เป็นรายงานของ นิวยอร์ก เวิลด์ จากปารีส ซึ่งรายงานถึงความสำเร็จของปรากฏการณ์ เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในซามัว รายงานนี้เป็นคำตอบให้กับคำหัวเราะเย้ยหยันที่บรรดานักวิทยาศาสตร์ต่อรายงานของคนป่าแห่งซามัว บทความนั้นมีอยู่ว่า... "คุณไม่เพียงมีดวงตาในส่วนศรีษะ แต่คุณยังมีดวงตาในส่วนที่เป็นร่างกายของคุณด้วย ร่างกายของคุณเต็มไปด้วยดวงตา! และดวงตาเหล่านั้นสามารถนำมาใช้ได้! หากได้รับการฝึกฝนอย่างถูกวิธี!.." มีข้อสรุปจากนักวิทยาศาสตร์ ผู้ที่ได้เป็นพยานในการทดลองของจูลส์ โรเมน(Jules Romain) นักเขียนหนังสือเกี่ยวกับดวงตาพิเศษนี้ว่า ใต้ผิวหนังของเรามี โอเซลลัส(ocelles) ซึ่งเป็นอวัยวะที่มีขนาดเล็กมาก ที่เชื่อมต่อกับระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งเป็นที่มาของ "ดวงตาพิเศษ" ในรายงานมีบันทึกว่า เอ็ม. โรเมน (M. Romain)ได้ประสบความสำเร็จในการฝึกให้คนหลายคนใช้ดวงตาพิเศษนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พวกเขาสามารถแยกสีและอ่านออกขณะที่ถูกปิดตาอย่างมิดชิด บางคนสามารถมองเห็นได้ด้วยแก้ม นิ้วมือ หรือจมูก คนหนึ่งสามารถบอกลักษณะของหมวกได้ด้วยระยะไกลกว่า 4 หลา ซึ่งเป็นผลมาจากการฝึกพลังสมาธิโดยการเพ่งไปยังจุดใดจุดหนึ่งของร่างกาย ซึ่งต้องใช้พลังจากศูนย์กลางของจิตใจเป็นหลัก ***การฝึกเช่นนี้ไม่เกี่ยวข้องกับมาถูกสะกดจิตแต่อย่างใด*** การทดลองครั้งแรกได้ผลได้ไม่เด่นชัดนัก แต่การทดลองในครั้งต่อไป ๆ ใด บางคนมีการพัฒนามากขึ้น และจากการทดลองค้นพบได้ว่า ยิ่งคนที่ถูกนำมาฝึกนี้ได้รับการฝึกมากขึ้นเท่าไหร ก็ยิ่งพัฒนาความสามารถในการมองเห็นขยายวงออกไปได้เรื่อยๆ... ซึ่งบัดนี้เป็นที่พิสูนจ์ได้แน่ชัดแล้วว่า การใช้ผิวหนังในการมองแทนดวงตานั้นสามารถทำได้จริง!!! ดวงตาพิเศษนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ที่ได้รับการฝึกมาอย่างถูกวิธี ซึ่งการฝึกแบบนี้ชาวซามัวได้รับการฝึกสืบทอดกันมาไม่ต่ำกว่าหลายพันปีแล้ว... เป็นที่น่าสังเกตได้ว่า ยิ่งวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากขึ้นเท่าไหร่ กลับเหมือนยิ่งถอยหลังลงเรื่อยๆ มากขึ้นเท่านั้น วิทยาศาสตร์สมัยใหม่จึงใช้วิธีเดียวที่จะหาทางพัฒนาองค์ความรู้ให้ก้าวไกลกว่าเป็นไปได้ นั้นก็คือ การศึกษาเรื่องในอดีตที่เคยเกิดขึ้น อารยธรรมโบราณที่สูญสลาย แล้วทำความเข้าใจมันให้รู้ซึ้ง แล้วนำมันมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในยุคของปัจจุบัน

ที่มา: http://allmysteryworld.blogspot.com/2011/05/blog-post_8988.html#ixzz2xvg8HXZN

ไขปริศนา หลอดไฟฟ้าของฟาโรห์



รูปหลอดไฟเดนเดราที่สองนักเขียนชาวออสเตรียและวิศวกรการ์นได้กล่าวอ้างว่าเป็นหลอดไฟโบราณ.



ถ้าจะกล่าวถึงสิ่งประดิษฐ์โบราณที่มีวิทยาการ ผิดยุคผิดสมัย ก็มีอยู่หลากหลายชนิด รวมทั้งภาพสลักอีกภาพหนึ่ง ที่สร้างความฉงนฉงายให้กับหลายๆท่านที่มีโอกาสพบเห็นได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือภาพ สลักรูป "หลอดไฟฟ้า" ในวิหารแห่งหนึ่งของชาวไอยคุปต์ ซึ่งถือว่าเก่าแก่กว่าหลอดไฟฟ้าของโทมัส อัลวา เอดิสัน ถึงกว่า 2,000 ปีเลยทีเดียว

วิหารที่มีจารึกแปลกประหลาดรูปหลอดไฟแห่งนี้ก็คือหนึ่งในวิหารที่ยังหลงเหลือความสมบูรณ์ที่สุดวิหารหนึ่งของอียิปต์โบราณ นั่นก็คือวิหารแห่งเดนเดรา (Dendera) มหาวิหารที่บูชาเทพีแห่งความรักอย่างเทพีฮาเธอร์ (Hathor) นั่นเอง

วิหารแห่งเดนเดรา ตั้งห่างออกมาทางตอนเหนือของเมืองลักซอร์ (Luxor) ประมาณ 70 กิโลเมตร ตัววิหารเดนเดราโดดเด่นด้วยเสาทรงเทพีฮาเธอร์ ประดับด้านหน้าถึง 6 เสา ด้านในมีห้องโถง ห้องเสาไฮโปสไตล์ ห้องบูชาด้านในอีกหลากหลายห้อง ที่สำคัญที่สุดก็คือห้องบูชาหลัก (Sanctuary) ของเทพีฮาเธอร์ ที่ประดิษฐานรูปปั้นรวมทั้งเรือศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในขบวนแห่อีกด้วย 
และบริเวณด้านหลังของวิหารเดนเดราแห่งนี้นี่เองครับ ที่มีช่องทางเดินลงไปยังคูหาใต้ดิน (Crypt) ซึ่งมีภาพหลอดไฟสุดล้ำของชาวอียิปต์โบราณสลักเอาไว้!!



วิหารเดนเดราในมุมกว้าง ยังหลงเหลือความยิ่งใหญ่อยู่มาก.

จากหนังสือ "ดวงไฟแห่งฟาโรห์" (Lights of the Pharaohs) ของสองนักเขียนชาวออสเตรียได้กล่าวไว้ว่า ในภาพสลักรูปหลอดไฟนั้นประกอบไปด้วย ตัวนักบวชผู้ถือหลอดไฟที่มีส่วนประกอบของตัวหลอด พร้อมทั้งตัวปล่อยกระแสไฟฟ้าที่แสดงด้วยรูปงู ปลั๊กรูปดอกบัว ตามด้วยสายไฟ และไอโซเลเตอร์ 
(Isolator) ที่แสดงด้วยภาพเสาดีเจด (Djed Pillar) ด้านข้างยังมีเทพเจ้าถือมีด ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ "ผู้นำแสงสว่าง" จารึกประดับไว้ด้วย ในภาพสลักยังมีภาพของเทพเจ้าในท่านั่ง แสดงถึงกระแสไฟฟ้า และมีภาพของตัวจ่ายพลังงานหรือที่เราเรียกกันว่าเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Generator) อีกด้วยครับ

เสาดีเจด Djed Pillar


นอกจากนั้น วิศวกรนาม ดับเบิลยู การ์น (W. Garn) ยังได้สนับสนุนแนวคิดนี้ แถมด้วยการวาดแผนโครงสร้างของหลอดไฟฟ้าจากภาพบนผนังของวิหารเดนเดราเสียด้วย สิครับ 
โดยเขาได้เสนอว่า หลอดไฟแห่งเดนเดรานี้ ถ้ามีแท่งโลหะ 2 ชิ้นที่สัมผัสกับแขนที่ชูขึ้นมาของเสาดีเจด ก็จะสามารถสร้างกระแสไฟฟ้าได้ 

แต่ก็ขึ้นกับขนาดของหลอดไฟด้วย ถ้าความดันภายในหลอดมีขนาดประมาณ 40 มิลลิเมตรปรอท เจ้างูในหลอดไฟที่ทำหน้าที่เป็นลวดที่ให้กระแสไฟฟ้าผ่าน ก็จะค่อยๆเลื้อยตัวออกไปเรื่อยๆ และสามารถสร้างแสงสว่างได้เพิ่มมากขึ้น เจ้างูลวดตัวนี้สามารถที่จะเลื้อยตัวออกไปได้ยาวมาก จนยาวเต็มหลอดไฟเลยทีเดียว ซึ่งนี่ก็คือหลักการในการให้แสงสว่างของหลอดไฟแห่งเดนเดรา จากมุมมองของวิศวกรอย่างการ์น

ด้านหน้าของวิหารเดนเดรา แสดงความยิ่งใหญ่และงดงามด้วยเสารูปเทพีฮาเธอร์ถึง 6 เสา.

แต่แนวคิดที่การ์นนำเสนอมา มันก็ยังขัดแย้งกันอยู่ในตัวของมันเอง เพราะถ้ามองที่ภาพหลอดไฟที่การ์นนำมาอ้างนั้น ภาพของเสาดีเจดชูแขนสองข้าง ที่เชื่อกันว่าทำหน้าที่เป็นไอโซเลเตอร์ ดูเหมือนว่าจะเข้าไปอยู่ด้านในของหลอดไฟ 

แต่แท้จริงแล้ว ภาพหลอดไฟแห่งเดนเดรานี้ มีถึง 6 หลอดครับ และอีก 5 หลอดที่เหลือ ก็จะเห็นได้ชัดว่าภาพของเสาดีเจดนั้น ไม่ได้เข้าไปในตัวหลอดแต่อย่างใด เพียงแต่ค้ำอยู่ด้านนอกเท่านั้น จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่หลอดไฟ อีก 5 หลอดของเดนเดราจะสามารถทำงานได้ตามหลักการของการ์น

หลายๆท่านอาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่า ภายในพีระมิด หรือสิ่งมหัศจรรย์หลายแห่งที่ชาวอียิปต์โบราณได้สร้างสรรค์ไว้ ไม่เคยพบเขม่าควันใดๆเลย แสดงว่าถึงแม้ว่าหลอดไฟแห่งเดนเดราจะไม่ได้หมายถึงหลอดไฟฟ้าจริงๆ แต่ชาวอียิปต์โบราณก็ควรจะต้องมีอุปกรณ์ให้แสงสว่างระหว่างการก่อสร้างด้วย แน่ๆ ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะสร้างหรือวาดภาพในที่มืดๆ โดยใช้ตะเกียงแบบไม่มีเขม่าได้ยังไงกัน

แท้จริงแล้วไม่ใช่ว่าตามสถาน ที่อย่างภายใน ห้องหับของพีระมิดจะไม่มีเขม่าอย่างที่หนังสือหรือแหล่งข้อมูลบางแห่งบอกไว้ นะครับ เขม่าควันนั้นมีเช่นกัน แต่เป็นผลมาจากคบไฟของเหล่าโจรปล้นสุสานในสมัยโบราณ รวมทั้งนักเดินทางที่ปรารถนาจะเข้าไปชมความอลังการภายในพีระมิดได้ทิ้งเอาไว้



ภาพคนถือสิ่งที่ดูคล้ายหลอดไฟ 2 หลอดจากวิหารเดนเดรา ยังมีสีดั้งเดิมหลงเหลืออยู่ด้วย.

ตะเกียงและไส้ตะเกียงคือหลักฐานที่นักอียิปต์ วิทยาค้นพบจากหุบผากษัตริย์ (Valley of the Kings) ซึ่งบ่งบอกว่าชาวอียิปต์โบราณมีการใช้ตะเกียงในการให้แสงสว่างในการขุดเจาะและตกแต่งผนังสุสาน แต่เคล็ดลับในการลดควันหรือเขม่าจากตะเกียงของพวกเขานั้นก็ทำได้ง่ายดายมากครับ เพียงแค่ผสม "เกลือ" เล็กน้อยลงไปในน้ำมันตะเกียง เท่านี้ก็ไม่หลงเหลือเขม่าเกาะติดผนังมากนักแล้วครับ

ข้อเท็จจริงข้อหนึ่งที่นักอียิปต์วิทยาค้นพบในห้องใต้ดินที่มีภาพหลอดไฟ ปริศนาก็คือ "เขม่าควัน" บริเวณภาพหลอดไฟพอดีครับ ดังนั้น ถ้าในช่วงการแกะสลักภาพหลอดไฟเดนเดรา ชาวอียิปต์ โบราณมีการใช้หลอดไฟรูปร่างเช่นนั้นในการให้ แสงสว่างจริงๆล่ะก็ ไม่น่าจะมีเขม่าควันหลงเหลืออยู่ในห้องนี้ เขม่าที่เห็นควรจะต้องเป็นควันจากการจุดตะเกียงในช่วงของการก่อสร้าง หรือไม่ก็เป็นเขม่าควันจากกลุ่มคนสมัยใหม่ ที่เข้ามาด้านในครับ

ถ้าไม่ใช่วิทยาการอันก้าวหน้าของชาวไอยคุปต์ แล้วหลอดไฟแห่งเดนเดรานี้มีความหมายว่าอย่างไรกันแน่ จารึกภาษาอียิปต์โบราณที่ประดับไว้เคียงข้างภาพหลอดไฟเหล่านี้มีคำตอบให้ ครับ



ภาพหนึ่งของหลอดไฟเดนเดรา จะพบว่าแขนของเทพฮีฮ์ที่ค้ำหลอดไฟอยู่นั้น ไม่ได้เข้าไปข้างในแต่อย่างใด.

จารึกในห้องใต้ดินแห่งนี้กล่าวถึงวัฏจักรการโคจรของดวงอาทิตย์ที่กำลังหมดเวลาในวันสุดท้ายของปีเก่าและเข้าสู่เช้าวันรุ่งขึ้นของปีใหม่ รวมทั้งการจัดงานพิธีกรรมเฉลิมฉลองแด่สุริยเทพ ซึ่งก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับหลอดไฟแต่อย่างใด

เริ่มแรกที่ภาพของงู ที่สองนักเขียนชาวออสเตรียกล่าวว่าเป็นลวดที่นำไฟฟ้า แต่ตำนานของชาวอียิปต์โบราณไม่มีตำนานใดกล่าวว่างูเกี่ยว ข้องกับไฟเลย ภาพวงรีที่เหมือนตัวหลอดไฟนั้น ณ ที่นี้มีความหมายถึงท้องฟ้า ยามรุ่งอรุณ และงูที่อยู่ด้าน ในก็คือเทพฮาร์ซัมตัส (Harsomtus) ซึ่งเป็นร่างหนึ่งของเทพฮอรัส เกี่ยวข้องกับพระอาทิตย์ ในยามรุ่งอรุณตามความเชื่อของชาวกรีก-โรมัน โดยที่พวกเขาจะแสดงภาพของเทพฮาร์ซัมตัสด้วยร่างของงูเสมอในช่วงหลัง 300 ปีก่อนคริสตกาลเป็นต้นมาครับ

นั่นก็เพราะงูจะมีการลอกคราบ ซึ่งชาวอียิปต์ โบราณมองว่าเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ก็คล้ายกับพระอาทิตย์ที่เริ่มต้นชีวิตใหม่ขึ้นมาทุกเช้าในแต่ละวันนั่นเอง




ภาพหลอดไฟอีกหลอดหนึ่ง ซึ่งก็จะเห็นได้ว่าแขนของเสา ไม่ได้เข้าไปสัมผัสกับงูด้านในหลอดไฟเช่นกัน.

สำหรับ เสาที่เชื่อกันว่าเป็นไอโซเลเตอร์ นั้น นักอียิปต์วิทยายังไม่สามารถหาคำตอบที่แน่นอนได้ว่า มีความหมายว่าอย่างไร เพราะว่าโดยตัวของมันเองแล้ว เสาสามารถสื่อได้หลายความหมาย ไม่ว่าจะหมายถึงเสาโดยตรง หรือหมายถึงความมั่นคง เสถียรภาพ และหมายถึงสิ่งที่อยู่ไปจนนิรันดร์ก็ได้เช่นกัน ดังนั้น ด้วยความที่เสาได้ค้ำท้องฟ้ายามรุ่งอรุณ และบางภาพก็ได้ค้ำงูฮาร์ซัมตัส ที่เป็นตัวแทนของพระ อาทิตย์ยามรุ่งอรุณ ก็อาจจะต้องการสื่อความหมายว่า สุริยเทพจะต้องเป็นผู้ที่คงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ก็เป็นได้

มองลงมาด้านล่าง ที่เชื่อกันว่าเป็นสายไฟซึ่งต่อจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้ารูปเทพฮีฮ์มายังก้านดอกบัวที่เป็นปลั๊กนั้น แท้จริงแล้วเป็นภาพตัวแทนของเรือศักดิ์สิทธิ์ที่มีเทพเจ้ามาก มายนั่งอยู่ คล้ายๆกับเรือที่ปรากฏในคัมภีร์ ต่างๆของชาวอียิปต์โบราณ และหลักฐานที่กล่าวว่าเส้นสายไฟนี้คือเรือแน่ๆ ก็คืออักขระที่จารึกประกอบภาพเอาไว้บนผนังครับ

ส่วนดอกบัว ก็คือดอกบัวตามที่เห็น ไม่ได้สื่อถึงปลั๊กไฟแต่อย่างใด สำหรับอีกด้านหนึ่งของเรือที่มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและเทพฮีฮ์ ก็สื่อความหมายว่าเทพฮีฮ์ทรงค้ำจุนท้องฟ้ายามรุ่งอรุณ ด้วยความที่เทพฮีฮ์เกี่ยวข้องกับความเป็นนิรันดร์และเกี่ยวข้องกับจำนวนหนึ่งล้าน ทำให้เทพฮีฮ์สื่อความหมายคล้ายคลึงกับเสานั่นคือหมายถึงความเป็นนิรันดร์ของสุริยเทพ




รูปที่การ์นใช้ประกอบคำอธิบายหลักการทำงานของหลอดไฟเดนเดรา.

บรรดาสัญลักษณ์ต่างๆที่แสดงเป็นภาพหลอดไฟแห่งเดนเดรานี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสัญลักษณ์พื้นฐานทางตำนานความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณทั้งสิ้น ที่ประกอบกันเพื่อสื่อความหมายและแสดงออกถึงพิธีกรรมการเดินทางเข้าสู่ปีใหม่ของสุริยเทพ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลอดไฟฟ้าแต่อย่างใด

แต่ถึงแม้ว่าชาวอียิปต์โบราณจะไม่ได้มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าถึงขั้นผลิตหลอดไฟฟ้าได้จริง แต่เราก็คงจะปฏิเสธกันไม่ได้ใช่ไหมครับว่า วิทยาการที่ชาวอียิปต์มีอยู่จริงนั้น ก็ก้าวหน้าและก้าวล้ำเสียจริงๆครับ

ถ้าท่านผู้อ่านชอบศึกษาและค้นหาความจริงจากเรื่องราวในประวัติศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ก็ติดตามได้ จากนิตยสารต่วย'ตูนพิเศษนะครับ มีเรื่องน่าสนใจทั้งจากอดีตและอนาคตมานำเสนอแบบเข้าใจง่าย อ่านสนุกกันทุกต้นเดือนครับ.


ที่มา : http://www.mythland.org/v3/thread-6099-1-1.html

ชูปาคาบรา(Chupacabra )


มีนาคม 1995 ชาวบ้านที่ตำบลโอโรโดบิส และโมโรบิส แถบภูเชาตอนในของเกาะปอร์โตริโกต้องเผชิญกับสิ่งน่ากลัวที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อพวกเขาตื่นขึ้นมาพบว่าแพะแกะของพวกตนนอนตายระเกะระกะเหมือนดั่งว่ามีใครทำร้ายพวกมัน ทีแรกก็ไม่ได้สนใจ คิดกันว่ามันอาจจะเป็นหมาป่าหรือหมาจิ้งจอก แต่พอสำรวจเจอเข้ากับรอยเจาะ 2 รูที่เปื้อนไปด้วยรอยเลือดเกรอะกรังขนาดเท่ากับหลอดกาแฟบนตัวสัตว์ทุกตัวที่นอนตาย ที่สำคัญที่สัตว์ที่ตายเหล่านี้สภาพศพตัวซีดเผือดและมีกลิ่นกำมะถันติดอยู่ แต่ที่น่าแปลกคือไม่มีรอยเลือดอยู่ที่พื้นดินสักหยด แสดงว่าทุกตัวต้องถูกดูดเลือดจนหมดออกร่างไปจนหมด


ต่อมาเริ่มพบซากของสัตว์เลี้ยงไม่ว่าจะเป็นแพะ สุนัข ตายในลักษณะเดียวกันนี้มากขึ้น
ความกลัวเริ่มเข้าเกาะกุมใจผู้คน ต่างร่ำลือกันต่างๆ นานา ว่าเป็นปีศาจบ้าง แวมไพร์บ้าง แต่ไม่มีใครอธิบายเหตุการณ์นี้ว่ามันเป็นอะไรหรือมันเกิดขึ้นเพราะอะไรจนกระทั้งอีกหกเดือนต่อมา...

มีชาวบ้านคนหนึ่งเห็นตัวมันในกลางดึกคืนหนึ่ง เขาเล่าว่ามันกำลังเกาะอยู่บนตัวแพะในความมืดและส่วนที่เค้าคาดว่าเป็นส่วนหัวของมันติดอยู่กับลำคอแพะของเขา ด้วยความตกใจเค้าจึงส่งเสียงดังเพื่อไล่มันไป มันหันมามองเค้าแว่บนึงแล้วก็กระโจนเข้าไปยังทางหลังบ้านแล้วก็หายไปในความมืด ต่อมาตอนเช้าก็ได้มีการชันสูตรซากแพะตัวนั้นไม่มีเลือดเหลืออยู่เลย...... "มันค่อนข้างมืด แล้วก็ไม่ค่อยแน่ใจในรายละเอียดของมันเท่าไหร่ แต่ว่าเห็นเพียงใบหน้าและดวงตากลมโตเท่าไข่ไก่ที่เป็นสีแดง กับเขี้ยวทั้งสองอันที่มุมปาก"


ในเดือนกันยายนปี 1995 มาเดลีน โตเลนติโน(Miasel Negron) แม่บ้านที่อาศัยอยู่ในคาโนบานาส ทางตะวันออกของกรุงซานฮวน เมืองหลวงของเกาะและคนอื่นหลายคนได้โอกาสเห็นตัวต้นเหตุมันกำลังดูดเลือดแพะพอดี........เธอกับชาวบ้านคนอื่นก็ไล่มันไป มันหันมามองเธอแว่บนึงแล้วก็กระโจนเข้าไปยังทางหลังบ้านแล้วก็หายไปในความมืด ต่อมาตอนเช้าก็ได้มีการชันสูตรซากแพะตัวนั้นไม่มีเลือดเหลืออยู่เลย เธอให้การกับตำรวจว่า "มันสูงประมาณ 3 - 4 ฟุต มีหนังคล้าย ไดโนเสาร์ ดวงตาสีแดงโตของมันฉายประกายจ้าในความมืด เขี้ยวยาวและงอโค้งไปด้านหลัง กำลังทำร้ายพวกแพะอยู่



จากนั้นคำว่า ชูปราคาบรา El Chupacabra จึงปรากฏขึ้นมา พวกเขาเรียกชื่อมันแบบตรงๆ โดยเป็นคำในภาษาสเปนแปลว่า ตัวดูดเลือดแพะ ("Goat Sucker")....แต่มิได้หมายความว่าเหยื่อของมันจะเป็นแพะเท่านั้น สัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ ไม่ว่า เป็ด ไก่ ห่าน หมา แมว กระต่าย หรือวัวก็ยังโดนมันดูดเลือดด้วย ซึ่งยิ่งทำให้ชื่อของชูปราคาบราเป็นที่หวาดกลัวสำหรับเจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์หรือชาวบ้านแถบเปอร์โตริโกในบัดดล..


ดือนพฤศจิกายน 1995 จอร์จ มาร์ติน นักจานผีวิทยาชื่อดังของเกาะได้เผยแพร่ข่าวนี้ให้ชาวโลกได้รับทราบทางอินเตอร์เน็ต ชูปาคาบราก็เลยดังไปทั่วโลก คราวนี้ใครต่อใครก็ให้ข่าวเรื่องชูปาคาบรากันยกใหญ่


Luis Guadalupe หนึ่งในผู้ที่พบกล่าวว่า "มันน่าเกลียดมาก และดูเหมือนว่ามันจะบินได้ด้วยซ้ำ และลิ้นมันยาวยังกับลิ้นงู"

Angel Pulido หนึ่งในผู้พบเห็นกล่าวว่า "มันเหมือนค้างคาวตัวใหญ่ที่ดูเหมือนแม่มด"

พวกนักการเมืองท้องถิ่นเริ่มออกมาเรียกร้องรัฐบาลให้สอบสวนเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ Jose Soto นายกเทศมนตรีของเมือง เริ่มส่งคณะไปค้นหา มีผู้ร่วมถึง 200 คนตระเวนหาตามไร่ต่างๆ ในตอนกลางคืน เนื่องจากคาดว่าเจ้าสัตว์ตัวนี้อาจจะหลับในตอนกลางวันแต่ออกหากินเวลากลางคืน แต่ก็เหลว เพราะหุบเขาในเปอโตริโกนั้นซับซ้อนและมีความยาวมาก


ข่าวคราวเรื่องชูปาคาบราออกเล่นวานเหยื่อยังคงมีเข้ามาอยู่เรื่อยๆ จนกระทั้งต้นปี 1996 จึงเริ่มค่อยๆ ชาลงไป อาจเป็นเพราะปีนี้อากาศหนาวผิดปกติ หลายคนจึงคิดว่าเจ้าสัตว์ตัวนี้อาจจะจำศิสหนีหนาวอยู่ในถ้ำที่ไหนสักแห่งบนเทือกเขาเอลยุงเกนั้นก็ได้

สงบได้ไม่กี่วัน ชูปาคาบราก็กลับมาอาละวาดอีก ต้นเดือนมีนาคม 1996 เมื่อฮารูตูโร โรดริเกว ชาวนาในหมู่บ้าน แจ้งว่าไก่ชนที่เขาเลี้ยงไว้ ทั้งตัวผู้แลตัวเมียร่วม 30 ตัว ถูกชูปาคาบราฆ่า ตามตัวและคอหอยของซากไก่มีบาดแผลเป็นรูเล็กๆ และไม่มีรอยเลือดที่เกิดเหตุ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบดูก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นชูปาคาบรา เพียงแต่บอกว่ามันอาจเกิดจากหมาป่าหรือค้างคาวกัดก็เป็นได้



วันที่ 9 มีนาคม เด็กชายโอรีโอ เมนเดซ กำลังสาละวนขุดหลุมเพื่อฝังไก่เขาที่ตายอยู่สนามหลังบ้านนั้น พลันเหลือบไปเห็นตัวอะไรบางอย่างที่รูปร่างแปลกประหลาด สูงราวสี่ฟุต เดินสองขา นัยน์ตาแดง มีเขี้ยวใหญ่ มือมีอุ้งเล็บ ตัวสีเทา เด็กคนนั้นเล่าให้ตำรวจฟังว่า “เจ้าสัตว์หูแหลมตัวนั้นยื่นนิ่งพอสมควรเลยครับ แต่มันไม่ทำร้ายผม และมันก็วิ่งหายไป”


ความตายของสัตว์เลี้ยงยังดำเนินต่อไปจนถึงแถบบาร์ริโอ ซูมีเดโร โดยเฉพาะตำบลลา เวกาคาปิญา และ ลา อาราญา พวกสัตว์เลี้ยงหลังบ้าน ไม่ว่าจะเป็น เป็ด ไก่ ห่าน แพะ แกะ หรือแม้แต่วัวก็ล้มตายโดยถูกดูดเลือดจนหมดทุกตัว มีอยู่ที่หนึ่งประตูสังกะสีขนาด 4.8x4.2 ถูกกระชากจนหลุดจากบานพับแสดงว่าเจ้าสัตว์จะต้องมีกำลังมหาศาล


ฮูลิโอ โลเปซ ยืนยันว่าชูปาคาบรามีพละกำลังมหาศาล “รูปร่างของกรงกระต่ายของลูกสาวผมออกจากเหลือเชื่อ ท่อเหล็กและลวดตาข่ายถูกฉีกขาด มันเอากระต่ายไปฆ่า และควักหัวใจไส้พุงออกมา พวกหมา ลิงทโมน หรืองู ไม่มีทำเรื่องแบบนี้หรอกครับ”

เรื่องของชูปาคาบราเรื่องแพร่กระจาย และมีข่าวลื่อมากมายเกี่ยวกับตัวมัน บางคนคิดว่าชูปาคาบราเป็นผีดูดเลือดด้วยซ้ำ จะต้องใช้กระสุนเงินฆ่ามันเท่านั้น บางก็ว่าต้องใช้แสงเลเซอร์ฆ่า




เหตุชูปาคาบราอาละวาดฆ่าสัตว์เลี้ยงไม่ได้มีแต่เฉพาะปอร์โตริโกเท่านั้น มันยังลามไปถึงอเมริกา และเม็กซิโกด้านมหาสมุทรแปซิฟิก เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 1996 มีรายงานการตายของสัตว์เลี้ยงจำนวนมาก ที่รัฐซิโนโลอา ฮาลิสโค และเวราครูซ โดยเฉพาะรัฐเวราครูซได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะเพราะรัฐนี้เป็นรัฐที่เลี้ยงแพะมากที่สุด โดยมีรายงานสัตว์เลี้ยงถูกดูดเลือดจนตายที่เมืองตลาลิสโคยัน ลาส ตรานคาส และนาซีคาส


เหตุการณ์ในเม็กซิโกเริ่มเลวร้ายยิ่งขึ้นเมื่อมีรายงานว่ามีคนถูกซุปาคาบราทำร้าย ส่วนใหญ่ผู้ถูกทำร้ายจะปรากฏบาดแผลเป็นรูเล็กๆ สองรูตามร่างกาย หรือรอยเล็บ และมีรายงานชูปาคาบราโดนคนยิงแต่ไม่สามารถทำอันตรายแก่ตัวมันได้แล้วมันก็หนีไปในความมืด






ในปานามา (Panama) ก็มีรายงานลักษณะเดียวกันนี้เช่นกันและคราวนี้หญิงสาวคนหนึ่ง Elizabeth Saaverdra ก็โดนทำร้ายจากเจ้าสิ่งนี้เช่นกัน บางครั้งก็พบว่าอวัยวะของซากสัตว์นั้นได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีรอยฉีกขาด เหมือนตัดเอาไปด้วยแสงเลเซอร์ ไม่เท่าเฉพาะแต่เพียงเท่านี้ ในบราซิล (Brazil) ก็มีการบันทึกของชูปาคาบราอีกเหมือนกันโดยคราวนี้ไม่ใช่รายงานสัตว์ที่โดยทำร้ายแต่เป็นรายงานการตายของเจ้า ชูปาคาบรานี้ โดยถูกนักตกปลายิงได้ที่ทะเลสาบ และหนึ่งในนั้นได้ตัดส่วนหัวของมันเก็บไว้และได้นำมาออกในรายการทีวีในเวลาต่อมา แต่ก็มีข่าวว่ามีคนจับตัว ชูปาคาบราเป็นๆ ไว้ได้แต่ไม่ได้นำมาเผยแพร่ทางโทรทัศน์ เพียงแต่ยอมให้นักสำรวจของอเมริกาตรวจดูได้



มันคืออะไร?

จากคำบอกเล่าของพยานผู้รู้เห็น จากซากสัตว์ที่โดยทำร้าย และจากซากของชูปาคาบรา พบว่าชูปราคาบรานั้นมีรูปร่างหลายแบบ แตกต่างกัน บ้างก็เหมือนมนุษย์ต่างดาว เหมือนหนูตัวใหญ่ บ้างก็เหมือนลิง บางตัวก็มีปีก บางตัวมีกลิ่นเหม็นคล้ายกำมะถัน บางก็มีเสียงเห่าหอน...ทำให้ผู้ออกความเห็นมากมาย บ้างก็ว่า....


เป็นสัตว์สายพันธุ์ใหม่

มีเรื่องน่าสนใจอย่างหนึ่ง คือ ที่ป่าเอลยุงเกเมื่อหลายปีมาแล้ว รัฐบาลสหรัฐเคยมาสร้างสถานีวิจัยทางทหารลับๆ ไว้แห่งหนึ่ง ครั้งเมื่อปี 1989 เกิดพายุเฮอร์ริเคนพัดกระหน่ำ เป็นไปได้ที่อาจมีสัตว์อะไรสักอย่างหลุดหนีออกมา เป็นต้นว่า ลิงกลายพันธุ์ที่ทดลองทางพันธุ์วิศวกรรม แต่เพราะพายุทำให้มันหนีและไปเจริญเติบโตและแพร่พันธุ์ในป่า



สัตว์ร้ายในท้องถิ่น


ใช่ว่าทุกคนจะลงความเห็นว่าสัตว์เลี้ยงของตนตายเพราะชูปาคาบรา หญิงสาวคนหนึ่งให้การว่ากระต่ายเธอถูกหมากัดต่างหากละ หรือไม่ก็มีลิงทโมนหลุดจากที่ไหนสักแห่ง บางที่เพราะสื่อมวลชนสร้างข่าวให้ใหญ่โตเกินเหตุมากกว่า

นักสัตว์วิทยาบางคนลงความเห็นว่ามันอาจเป็นฝีมือของหมาป่าไกโยต์ที่อพยพหนีจากพื้นที่แห้งแล้งทางตอนเหนือของประเทศ หรือไม่ก็ค้างคาวดูดเลือดชนิดใหม่ที่อพยพจากทางเหนือ



ไดโนเสาร์หรือสัตว์ยุคดึกดำบรรพ์


ความจริงเรื่องของชูปาคาบราไม่ใช้เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะมันปรากฏในหนังสือโบราณเกี่ยวกับไสยเวทย์เล่าว่า มันออกมาอาละวาดเมื่อราวคริสต์ศตวรรษที่ 11 หรือ 12 ภาพเขียนหนังสือเล่มนั้นเหมือนตัวกากอยส์มาก

อย่าลืมสิว่าหุบเขาในเปอโตริโกนั้นซับซ้อนและมีความยาวมาก จึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่ว่าน่ะมีสัตว์ประหลาดแปลกๆ ซ่อนตัวอยู่ไม่ให้ใครเห็นก็ได้ บางที่อาจมีอุโมงค์ลับอยู่ใต้ทะเลที่เชื่อมเกาะเปอร์ริโกกับเทือกเขาปีเรนิสของสเปน และผืนแผ่นดินอเมริกาใต้ ทำให้ชูปาคาบราออกมาเดินเล่นดูดเลือดสัตว์ได้สะดวก

มันอาจเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่เหลือรอดจากยุคดึกดำบรรพ์ก็เป็นได้


(ภาพที่ Robert Clarkson ถ่ายได้เมื่อปี 2004 )

เอเลี่ยน สิ่งที่มากับจานบินต่างดาว


มีผู้พบเห็นฝูง ชูปราคับบรา ในป่าหลังบ้าน ในการสำรวจป่า มีการพบร่องรอยบนหญ้า ชาวพื้นเมืองยังบอกอีกว่า ซูปราคับบรา กำลังมุ่งหน้าไปหาแสงไฟประหลาด


เดือนตุลาคม พ.ศ. 2539 ใน แคมโปริโก จอร์จ มาร์ติน ได้พบตัวอย่างเลือดที่รั่ว ซึ่งชูปราคับบรา ได้ไต่ออกมาก่อนที่จะหนีไป อีกรายงานหนึ่งแจ้งว่า ก่อนเหตุการณ์นี้ตำรวจท้องที่ยิงมันได้ตัวหนึ่ง ทำให้ได้ตัวเลือดที่หยดไปเป็นสาย ผลการตรวจเลือดแสดงให้เห็นว่าลักษณะเลือดของมันคล้ายเลือดมนุษย์ แต่การวิเคราะห์พันธุกรรมแสดงว่าเลือดของมันเข้ากับเลือดมนุษย์ไม่ได้ และไม่มีทางที่จะไปกันได้ด้วย

ซูปราคับบราอาจนี้เป็นเศษเดนของเชื้อสายมนุษย์ต่างดาว ที่ได้ทิ้งไว้ในโลกใบนี้ก่อนที่จานบินระเบิด โดยที่เปอร์โตริโก้ มีคนหลายร้อยคนเห็น UFO มาหลายปี และอยู่ไม่ไกลจากรัฐฟลอริดา ซึ่งปัจจุบันเป็นจุดสนใจของ UFO



มาถึงตอนนี้ ชูปาคาบราได้กลายเป็นเรื่องท็อปฮิตในหมู่ชาวอเมริกันที่พูดภาษาสเปนไปแล้ว ภัตตราคารหลายแห่งทางตอนใต้ของอเมริกาได้ใช้ชื่อชูปาคาบรามาตั้งชื่ออาหาร คณะดนตรีใช้ชื่อวงว่า “ลอส ชูปาคาบรา” ขบวนพาเหรดในวันเปอร์โตริโกที่นิวยอร์คก็แต่งชุด ชูปาคาบรา และเสื้อเชิ้ตพิมพ์ลายรูปชูปาคราบรากำลังดูดเลือดเหยื่อก็กำลังระบาดในสหรัฐและเม็กซิโก


แต่พวกสัตว์วิทยากลับไม่ชอบเรื่องของชูปาคาบรานัก แถมกล่าวโทษพวกสื่อมวลชนอีกว่านี้แหละเจ้าตัวดี ที่โหมกระพือข่าวเสียจนชูปาคาบราเป็นสัตว์ในตำนานไปซะแล้ว

"วิชาโทรจิต" ของมนุษย์ต่างดาว

ผลพลอยได้อย่างหนึ่งจากการปฎิบัติธรรมตามแนวทาง "พุทธศาสนา" ก็คือการค้นพบหลักการที่เกี่ยวของกับพลังงานรูปต่างๆ ที่มีความละเอียดสูงมาก จนยังไม่มีเครื่องมือใดๆ ในปัจจุบันจะสัมผัสวัดได้ รวมทั้ง "คลื่นกระแสจิต" ซึ่งมีความคมและละเอียดสูงสุด
 


"วิชาโทรจิต" เป็นความสามารถตามธรรมชาติที่แต่เดิมมีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทั้งปวง โดยการใช้โทรจิตนี้ผู้ใช้จะสามารถถ่ายทอดความรู้สึก หรือสิ่งที่ตนรู้สึกในใจ ไปให้แก่สิ่งมีชีวิตอื่นได้ โดยต้องเป็นสภาวะแห่งจิตสำนึกที่ตื่นตัว หรือสภาวะที่ทำให้ใจเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ "จิตสำนึกแห่งจักรวาล"
"โทรจิตจึงเป็นความรู้แห่งจักรวาลที่มีพรมแดนที่กว้างขวางยิ่ง"

 หลักทฤษฎีโทรจิตที่ได้รับถ่ายทอดมานั้น มีอยู่ด้วนกัน 4 ข้อ คือ

1.จะต้องพิจารณาว่า "มหาสากลจักวาล" เป็นองค์แห่งจิตสำนึกอันหนึ่ง
2.สรรพสิ่งทั้งหลายรวมทั้งมนุษย์ที่ดำรงชีวิตอยู่ในมหาสากลจักรวาลนี้ล้วนเป็นร่างที่แบ่งภาคออกมาจากองค์แห่งจิตสำนึกอันนี้ทั้งสิ้น ฉะนั้นจึงเป็นเรื่อง ธรรมดาที่มนุษย์แต่ละคนจะมีจิตสำนึกแห่งจักรวาลดำรงอยู่ในตัว
3.จิตสำนึกแห่งจักรวาลอันนี้เป็นทั้งพลังชิวิต เป็นทั้งปัญญา และเป็นความรู้ในสรรพสิ่งอีกด้วย
4.หากสามารถผนึกใจของตัวเองให้แนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกับจิตสำนึกอันนี้ได้
จิตสำนึกอันนี้ จะเป็นตัวจับและรับกระแสคลื่น ที่มาจากภายนอกพร้อมกับส่งต่อข่าวสารนั้นให้กับจิตของมนุษย์คนนั้น

ดังนั้น "ความคิด" ที่คนหนึ่งๆเปล่งออกมา จึงเป็นสิ่งที่ใครๆก็สามารถรับคลื่นความคิดนี้ได้
ถ้าคนๆนั้นเปิดเครื่องรับในร่างกายตนรับคลื่นนั้นๆเข้ามา
ในอีกด้านหนึ่ง ตัวจักรวาลหาใช่เป็นสิ่งที่เป็นศูนย์กลางของข้อมูลนั้นไม่
การกระทำของสรรพสิ่งต่างๆในจักรวาลต่างเป็นศูนย์กลาง

โดยตัวมันเองต่างหาก ที่กล่าวเช่นนั้นเพราะทุกสรรพสิ่งในจักรวาลถูกสร้างขึ้นมาโดยปฐมเหตุของจักรวาล

ดังนั้น รังสีที่เปล่งออกมาจากการกระทำใดๆของสรรพสิ่งนั้นๆ
จึงกระจายออกไปทั่วทุกทิศทุกทาง ด้วยเหตุผลเช่นนี้
เซลล์แต่ละอันในร่างกายมนุษย์ก็เป็นสิ่งที่สามารถปล่อยคลื่นความคิดออกมาได้เช่นกัน
และในทางกลับกันคลื่นความคิดก็ย่อมสั่นสะเทือนเซลล์แต่ละอันในร่างกายตนเองได้ด้วย

ดังจะเห็นได้ว่าความเครียดที่สั่งสมนานๆ เป็นตัวการสำคัญอันหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บแก่มนุษย์ เพราะคลื่นความคิดเหล่านี้เข้าไปมีผลกระทบต่อร่างกายนั่นเอง

การมีความคิดที่ดี แจ่มใสร่าเริง มองโลกในแง่ดี

จึงเป็นสิ่งที่ขาดเสียมิได้สำหรับมนุษย์ บางครั้งเราจึงควรหลีกให้ห่างผู้คนที่ปล่อยคลื่นความคิดร้ายๆ

ถ้าหากทำได้ จะได้ไม่ไปรับผลสะเทือนที่ไม่ดีของผู้คนเหล่านั้นเข้ามา...

คลื่นความคิดที่ควรหลีกเลี่ยง

1.สิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดก็คือ การไม่ให้คลื่นความคิดจำพวก ความโลภ ความโกรธ ความหลง
ความไร้สาระในเรื่องเล็กน้อย ความเกลียดชัง เหล่านี้ ไหลเขามาสู่ตัวเรา

2.พวกคลึ่นความคิดชั้นต่ำที่ถูกปล่อยออกมาจากดาวดวงอื่น ที่มีวิวัฒนาการล้าหลังกว่าโลกของเรา
ก็เป็นคลื่นที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ

3.คลื่นความคิดที่ปล่อยออกมาจากความทรงจำของชาวโลกที่เคยอาศัยอยู่บนโลกในอดีต
ส่วนใหญ่เป็นคลื่นความคิดที่แตกแยกไม่ปรองดองกัน และอกุศล
มักทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว

แต่ความจริงเป็นแค่คลื่นความคิดของผู้ตายที่ยังหลงเหลืออยู่ในอวกาศเท่านั้น คลื่นความคิดที่ควรรับเข้ามา

1.พลังชีวิต (ปราณ) ของจักรวาลที่ไหลเข้ามา เป็นพลังภายในที่บริสุทธิ์
 เป็นทั้งปัญญาแห่งจักรวาลภายในตัวด้วย สามารถแทรกซึมเข้าสู่ทุกสรรพสิ่งได้อย่างเสมอภาค

ไม่ลำเอียง ปัญญาและความรู้ที่บริสุทธ์ จึงมักเข้าไปใกล้ผู้ที่ถ่อมตัว
และมีจิตใจปิดกว้าง มากกว่าคนใจแคบ มิใช่เพราะว่าปัญญาและความรู้ลำเอียง
แต่เป็นเพราะคนที่ใจแคบนั้นมีความสามารถในการรับปราณ
หรือพลังจักรวาลน้อยกว่าคนใจกว้างต่างหาก

2.คลื่นความคิดจากรูปธรรมชั้นสูง ทั้งจากในโลกนี้และที่มาจากดาวดวงอื่นที่มีวิวัฒนาการทางจิตสูงกว่าโลกของเรา คลื่นความคิดนี้เปี่ยมไปด้วยความรักความหวังดี
และเป็นประโยชน์ต่อชาวโลก

3.การสื่อสารไปมาระหว่างเซลหรืออะตอม จากสรรพสิ่งธรรมชาติรอบๆตัวเรา
ด้วยภาษาร่วมหรือภาษาจักรวาลที่เป็นสากล
อนึ่งมีข้อห้ามพึงระวังในการฝึกโทรจิตก็คือ
ผู้ฝึกจะต้องไม่ปล่อยคลื่นความคิดที่เป็นอกุศลใดๆ ออกมาเป็นอันขาด
แต่จะต้องสร้างความรู้สึกที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวก้บสรรพสิ่งให้ได้

วิธีฝึกโทรจิตของ"อดัมสกี้"ที่เป็นรูปธรรม มีดังนี้ครับ... 

ก่อนอื่นผู้ฝึกจะต้องตระหนักถึงปัจจัย 3 ประการในการฝึกโทรจิต คือ

หนึ่ง ในการสัมผัสคลื่นความคิดที่เข้ามาจากข้างนอก
จะต้องไม่มีการแบ่งแยกเกิดขึ้นระหว่างใจของเรากับผู้ที่เราต้องการสื่อสารด้วย

สอง สรรพสิ่งล้วนมีชีวิต เซลล์แต่ละอันไม่เพียงแต่ให้พลังชีวิตเท่านั้น
แต่ยังมีปัญญาดำรงอยู่ในตัวด้วย เซลล์แต่ละอันจึงสามารถรับข่าวสาร
และปล่อยข่าวสาร ที่เป็นประสบการณ์ของตนออกไปได้

สาม ผู้ฝึกต้องควบคุมเซลล์ในร่างกายของตนโดยผ่านการตอบสนองของประสาทสัมผัสทั้ง

สี่ ในร่างกายของตน โดยทำให้อวัยวะแต่ละส่วน "เป็นกลาง" เสียก่อน วิธีฝึก
1.ทดลองส่งโทรจิตระหว่างคนสองคน โดยเริ่มจากการอยู่ในห้องเดียวกันก่อน
จากนั้นค่อยๆ เพิ่มระยะห่างระหว่างคนสองคนให้ไกลออกไปเรื่อยๆ

-โดยผู้ส่งจิตจะต้องวาดภาพ หรือจินตการภาพที่จะส่งออกไปขึ้นไว้ในใจก่อน แล้งลองส่งออกไป
-ส่วนผู้รับโทรจิตก็ต้องมีสมาธิคอยรับด้วยท่าทางและจิตใจที่ผ่อนคลาย ก่อนจะบอกคำตอบออกมา

ถ้าทดลอง 5 ครั้ง แล้วตอบถูกเกิน 3 ครั้งขึ้นไปถือว่าใช้ได้

2.ทดลองรับคลื่นโทรจิตจากสี่งของใกล้ๆตัวของใครคนหนึ่ง เช่นทายราคาของสินค้าอันนั้น
(เนื่องจากอะตอมของสิ่งของนั้น ได้รับข่าวสารจากผู้เป็นเจ้าของมาก่อนแล้ว)
จะทายข้อความในจดหมาย หรือทายไพ่ก็ย่อมได้..

3.ฝึกโยนเหรียญ และออกคำสั่งให้เหรียญนั้นออก"หัว"หรือ"ก้อย" เมื่อตกลงพื้น
โดยตอนออกคำสั่งนั้น ต้องแสดงความปรารถนา
และจิตนาการให้ตัวเองแนบแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเหรียญเสียก่อน
นอกจากฝึกกับเหรียญแล้ว ทดลองฝึกกับลูกเต๋าก็ได้..

4.ฝึกให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพื้นน้ำ หากมีโอกาสไปยืนที่สูงๆเหนือแม่น้ำ
ทะเลสาบ บึง หรือเหนือทะเลกว้างๆ ลองจิตนาการให้ตัวเองแนบแน่น
เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับคลื่นน้ำ เราจะได้สัมผัสความรู้สึกที่เย็นสดชื่นยิ่งขึ้น
การพัฒนาความสามารถเชิงโทรจิตในตัวเรานั้น

จำเป็นจะต้องฝึกฝนและฝึกฝน ๆ ๆ ในทำนองที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้
หากมีใครทดลองฝึกแล้วยังไม่คืบหน้า นั่นย่อมแสดวว่า "อัตตา"(EGO) ของผู้ฝึกนั้นแรงไปนั่นเอง

 และปัจจัยความ เหนื่อยหน่าย เหนื่อยล้า และความเครียด
อาจเป็นอุปสรรคของการฝึกโทรจิต ต้องรู้จักผ่อนคลาย
ให้เป็นเรื่องปกติธรรมชาติไปเองในที่สุด...


การใช้วัตถุธาตุ เพื่อสื่อพลังโทรจิต ชาวแอตแลนติสในยุคราว 40.000 ปีก่อน
ได้เคยสร้างปิรามิดเพื่อใช้สื่อสารกับพลังจักรวาล
ยังได้ใช้ผลึกคริสตัลมีทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก
เพื่อการติดต่อ (รับคลื่น-ส่งคลื่น) กับพลังจักรวาล
และจิตสำนึกแห่งจักรวาลด้วยวิธีการดังนี้..

ในการรับคลื่นจิตวิญญาณระดับสูง ให้นำผลึกคริสตัลขนาดเล็ก
มาวางเบี้องหน้าเราสองก้อน ให้ตัวเรานั่งอยู่บริเวณยอดสามเหลี่ยมของทรงปิรามิด
(ให้ตัวเราเป็นผลึกคริสตัลก้อนที่สาม)
 จากนั้นใช้ลวดทองแดงหนึ่งเส้นพันรอบผลึกคริสตัน 3 รอบ
ก่อนจะนำลวดทองแดงนั้นมาถือไว้ในมือทั้งสองข้าง ในท่าหลับตาเข้าสมาธิ..

จากนั้นให้เพ่งจิตและพลังทั้งหมดของเราไปยัง "ผู้ที่เราต้องการจะสื่อสารด้วย"
ในทางกลับกัน หากเราต้องการที่จะส่งคลื่นออกไป
ข่าวสารของเราไปให้กับผู้ใด ก็ให้กระทำในรูปแบบตรงกันข้ามกับข้างต้น
คือใช้สองมือเราแทนผลึกคริสตันสองก้อน (เป็นส่วนฐานของรูปสามเหลี่ยม)

 ในขณะที่ผลึกมีคริสตันเพียงหนึ่งก้อน มาเป็นปลายยอดของสามเหลี่ยมแทน
 วัตถุธาตุเหล่านี้เป็นสื่อที่สามารถใช้ติดต่อระหว่างธาตุหยาบกับธาตุละเอียด
หรือของมนุษย์กับเทวดา และรูปธรรมอื่นๆได้ เป็นเครื่องช่วยสื่อสารให้คมชัดขึ้น...
(สมัยนั้นไม่มีโทรศัพท์ การโทรจิตจึงเป็นเรื่องที่แพร่หลายมาก)

ข้อผิดพลาดของชาวแอตแลนติสในอดีต
ส่วนใหญ่ก็ไม่ต่างไปจากข้อผิดพลาดของมนุษย์ในปัจจุบันหรอกครับ..

คือพวกเขาไม่สามารถควบคุม "อัตตา"(EGO) ของเขาได้
จึงนำพลังอันมหาศาลที่อารยธรรมของเขาได้สร้างขึ้นมา ไปใช้ในทางที่ผิดๆ
โดยเฉพาะสงคราม (ขุดหลุมฝังตัวเองแท้ๆ)

ตั้งแต่มนุษย์คิดค้นระเบิดปรมาณูขึ้นมาได้ และนำมาใช้เข่นฆ่าสังหารมนุษย์ด้วยกันเอง เป็นต้นมา
จะว่าไปมนุษย์ในยุคนี้กำลังเจริญรอยตามจุดจบของชาวแอตแลนติสแทบทุกกระเบียดนิ้ว

และถ้าหากข้อสัษฐานที่ว่าชาวแอตแลนติสมีเชี้อสายจากมนุษย์ต่างดาวเป็นจริง
จึงไม่น่าแปลกที่ปรากฎการณ์จานบิน(UFO) จะมาปรากฎให้มนุษย์เห็นกันอย่างถี่ๆ นับแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา

 เพื่อมาเตือนภัยแก่มนุษย์เรา ว่ากำลังเดินไปในทางที่ผิดๆกันอยู่...
การใช้ประสาทสัมผัสจากจักรวาล มนุษย์ต่างดาวถูกอบรมตั้งแต่เด็ก
ให้เข้าใจในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกาย กับจิต และการ "ควบคุมใจ"

เพราะฉะนั้น "ใจแห่งอวัยวะสัมผัส" ของเขาจึงถูกยกระดับให้สูงส่งระดับเดียวกับ "ใจของฟ้า"
(ปฐมเหตุแห่งจักรวาล) ทำให้เซลล์ในร่างกายทั้งหมดของพวกเขา
สามารถตอบสนองคำสั่งที่ใจสั่ง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ด้วยเหตุนี้ร่างกายของเขาจึงแข็งแรง 
และมีอายุยืนยาวเกินกว่าที่ชาวโลกจะคาดคิดได้เช่นกัน.. 
ชาวโลกก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน 
หากแต่บุคคลผู้นั้นต้องมีจิตใจที่กระจ่าง เที่ยงธรรม 
มีชิวิตอยู่อย่างมีปณิธาน ศรัทธา ความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า 
และมีความคิดในเชิงบวก 
เซลล์ในร่างกายก็จะตอบสนองต่อจิตใจบุคคลนั้นในทางบวกเช่นกัน 

ทั้งเรื่องสุขภาพร่างกายและจิตใจ ย่อมได้ผลเช่นเดียวกัน แต่ชาวโลกส่วนใหญ่ไม่ตระหนักถึง
จิตสำนึกนี้ กลับมีชิวิตโดยใช้แค่ "ใจ" หรือ "สิ่งรับรู้ในอารมณ์ทั้งหลาย "เท่านั้น

ซึ่งผันผวนง่ายและแปรปรวนอย่างรุนแรง มาเป็นหลักของชิวิต
ขณะที่มนุษย์ต่างดาวจะถือว่าจักรวาลเป็นองค์แห่งจิตสำนึก
คือพระผู้สร้างหรือพระผู้เป็นเจ้า จึงพยายามประสานใจของตนให้สอดคล้องกับจิตสำนึกนี้...

(คนที่นับถือพุทธะก็ยึดในหลักความเป็นหนึ่งเดียวกับ "ปฐมเหตุแห่งจักรวาล" ความหมายไม่แตกต่างกัน..) กระแสคลื่นที่มนุษย์ต่างดาวปล่อยออกมา มีลักษณะเป็น "คลื่นความคิด"

ซึ่งมีลักษณะคล้ายแสง ถ้ากระแสความคิดถูกส่งเป็นคลื่นออกไปแล้ว
มันจะเคลื่อนที่ไปอย่างไม่มีขอบเขต
จนกว่าจะถูกดูดซับหรือถูกขวางกั้นโดยสิ่งอื่น หรือวัตถุอื่น...

เช่นเดียวกันกับ "คลื่นความคิดของมนุษย์" เป็นคลื่นที่ส่งผ่านไปในอวกาศได้เช่นกัน
แต่ไม่ได้มีลักษณะเป็นเส้นตรงทิศทางเดียวเหมือนลูกกระสุนจากปากกระบอกปืน
หากแต่มีลักษณะเหมือนรังสีที่เปล่งออกมาเป็นเส้นตรงในทุกๆทิศทาง
และแผ่ขยายตัวโดยมีจุดศูนย์กลางอยู่จุดหนึ่ง....

ที่มา : http://www.dmc.tv

ความลึกลับของอารยธรรมมายา

กลางป่าลึกของเม็กซิโกและกัวเตมาลา ลึกลงไปจากคาบสมุทรยูคาทานเป็นอดีตที่ตั้งของอาณาจักรมายา ซึ่งว่ากันว่าเป็นอาณาจักรที่มีความเจริญสูงสุดเมื่อประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล หรือกว่าสองพันปีล่วงมาแล้วนั่นเอง

ถึงจะมีความเจริญด้านอารยธรรมอย่างเหลือล้น มีร่องรอยของความรุ่งเรืองเหลืออยู่มากมาย แต่ที่มาและที่ไปของชาวมายาก็ยังเป็นความลับดำมืดอยู่ในหมู่นักประวัติ ศาสตร์ มายาเป็นที่รู้จักแก่ชาวโลกครั้งแรกในสมัยของการล่าอาณานิคม สเปนเป็นชาติแรกครับ ที่เข้าไปเหยียบย่ำดินแดนแห่งนี้ เหล่าชาวยุโรปในศตวรรษที่ 16 ต่างตื่นตะลึงไปตามๆกันเมื่อพบว่า กลางป่าลึกอันแสนรกร้างนั้นซุ่มซ่อนไปด้วยสิ่งก่อสร้างมากมาย โบราณสถานอันโอ่อ่าและปิระมิดที่สูงเสียดฟ้า คำเล่าลือเกี่ยวกับอาณาจักรนี้กระจายไปอย่างรวดเร็ว และดึงเอาผู้สนใจแห่กันมาศึกษาเสียมากมาย

ชาวมายานี่ช่างมายาสมชื่อจริงๆครับ ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับพวกเขาช่างมหัศจรรย์ราวกับเนรมิตเอาเสียอย่างนั้น ดูเมืองของเขาเถิด ปิระมิดขนาดมหึมาแตกต่างไปจากของอียิปต์โดยสิ้นเชิง วิหารและศาสนสถานมากมายบ่งบอกถึงความเจริญทางอารยธรรมของพวกเขา

รอบๆตัวเมืองมีหลักศิลาจารึกอักขระประหลาดๆอยู่มากมาย น่าเสียดายที่ไม่มีใครรู้แจ้งแทงทะลุกับจารึกเหล่านี้ ไม่อย่างนั้นเราก็อาจจะไขปริศนาบางส่วนของชาวมายาได้ ทำไมน่ะหรือครับ? ก็เพราะว่าจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครทราบว่าชาวมายานั้น"มา"จากไหน และตอนนี้ชาวมายา"หาย"ไปไหนกันหมดแล้ว เพียงชั่วเวลาไม่นาน เหล่าชาวมายาผู้เคยปักหลักปักฐานอยูใจกลางอาณาจักรก็พากันหายสาบสูญไปเสีย ดื้อๆ ไปไหนกันล่ะเนี่ย? มุดลงดินหรือว่าบินขึ้นฟ้า?

มาดูกันหน่อยดีมั๊ยครับว่า เรื่องของชาวมายาที่น่าสนใจนั้นมีอะไรบ้าง



นักประวัติศาสตร์และโบราณคดีต่างก็ตั้งสมมุติฐานเกี่ยวกับต้นตอของชาวมายาแตก ต่างกันไป แม้แต่นักมานุษยวิทยาระดับอ๋องบางคนยังส่ายหน้าดิกเลยครับ หากไปถามท่านเรื่องที่มาที่ไปของชาวมายา หลายคนให้ความเห็นว่าชาวมายาน่าจะสืบเชื้อสายมาจากชาวฮิตไทต์โบราณ บ้างก็ว่าเป็นพวกอพยพมาจากกรุงทรอยหลังกรุงแตก บ้างก็ว่าเป็นพวกอียิปต์ เกาหลี จีนฮั่น ว่ากันไปโน่น ต่างคนต่างก็หาหลักฐานมายืนยันกันสุดฤทธิ์ ที่พอจะเชื่อๆกันก็คงเป็นนี่แหละครับ ทายาทของอารยธรรมที่สาบสูญ "แอตแลนติส" บรรพบุรุษของชาวมายาคือพวกผู้รอดชีวิต จากการจมดิ่งสู่ห้วงทะเลของทวีปแอตแลนติสเมื่อหมื่นกว่าปีก่อนนู้น
ก็ต่างคนต่างก็มีหลักฐานนี่ครับ แม้กระทั่งข้อสงสัยที่ว่าบรรพบุรุษชาวมายาจะเป็นชาวญี่ปุ่นสมัยก่อน เพราะมีการขุดพบเครื่องปั้นดินเผาแบบเดียวกับสมัยโชมอนของญี่ปุ่นอยู่ เกลื่อนแถวนั้นกันหมด

ความจริงหลักฐานเกี่ยวกับชาวมายา นี้อาจจะเหลืออยู่หรอกครับ ถ้าไม่เพราะการกระทำอันแสนเจ็บปวดของบาทหลวง ดีเอโก เดอ ลันดา ท่านเป็นคนแรกที่ศึกษาเกี่ยวกับชาวมายาอย่างจริงจัง มีการบันทึกเรื่องราวอย่างละเอียดละออนับว่าเอื้อประโยชน์แก่คนรุ่นหลังไม่ น้อย แต่ก็นั่นแหละครับ เนื่องจากท่านเป็นสังฆราชองค์แรกของแถบนี้ ท่านจึงสั่งเผาตำรับตำราของชาวมายาเสียเรียบวุธ โดยอ้างว่ามันคือจารึกแห่งคาถาของปีศาจร้าย

ถ้ายังมีจารึกเก่าๆเหลืออยู่บ้าง เราก็อาจจะทราบเรื่องราวของชาวมายาได้มากกว่านี้จริงมั๊ยครับ?

เอางี้ก็ได้ ถ้านักวิชาการเค้าเถียงกันเรื่องที่มาของชาวมายากันนัก เรามาดูในตำนานเก่าแก่ของพวกเค้าซิว่า จริงๆแล้วชาวมายานั้นสืบเชื้อสายมาจากไหนกันแน่

...จากพระเจ้า

ใช่แล้วครับไม่ผิดแน่ ชาวมายาเค้าว่าอย่างนั้น พระเจ้าของชาวมายามาจากดินแดนอันแสนไกล ทรงมีเครายาวสีขาวเสด็จมาโดยเรือจากท้องฟ้า พระองค์ทรงมาดูแลชาวมายาอย่างมิได้ขาดตกบกพร่อง ทรงสั่งสอนศิลปวิทยาการให้ ด้วยเหตุนี้ชาวมายาจึงสร้างเทวสถานไว้สักการะพระองค์ เพราะพระองค์สัญญาว่าสักวันหนึ่งพระองค์จะกลับมาหาพวกเขา

พระเจ้าของชาวมายามีชื่อว่า Kukulcan อันแปลว่าพญางูบิน แหม ลงได้ชื่อว่าสืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าแบบนี้แล้ว คงไม่น่าสงสัยแล้วล่ะนะครับว่าทำไมชาวมายาสร้างสรรค์ศิลปวิทยาการเหล่านั้น ได้ ทั้งที่ความรู้ทางกลศาสตร์ของพวกเขาเท่าหางอึ่ง ไม่รู้จักแม้แต่จะสร้างเครื่องมือช่วยผ่อนแรงด้วยซ้ำ ซึ่งมันก็น่าแปลกเอาการแหละ หากว่าพระเจ้าของชาวมายามาสั่งสอนพวกเขาจริง ทำไมเล่าพระเจ้าจึงได้สอนแต่หลักการคำนวณ และดาราศาสตร์ให้ โดยไม่ยอมสอนเรื่องของการสร้างเครื่องผ่อนแรง หรือเครื่องมือในการก่อสร้าง


สัญลักษณ์เดือนของชาวมายาเค้าล่ะครับ

ชาวมายาที่เก่งกาจในทางคณิตศาสตร์และการคำนวณ สามารถรู้วิถีโคจรของดวงดาวในระบบสุริยะได้กระจ่างราวกับนิ้วในมือ ทำไมแม้แต่เครื่องมือก่อสร้างง่ายๆพวกเขาก็สร้างไม่เป็น เคยสงสัยกันบ้างไหมครับ?

ถ้าว่ากันถึงความรู้ของชาวมายา ยิ่งน่าอัศจรรย์ใจใหญ่เลยครับ ทั้งๆที่พวกเขาเป็นแค่ชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่กลางป่าดงดิบออกอย่างนั้น พวกเขามีความรู้ทางดาราศาสตร์และคฌิตศาสตร์เป็นเยี่ยม ขัดกันมากับความรู้ขั้นต่ำในด้านการใช้แรงงานและครองชีพอย่างที่ว่ามา เชื่อหรือไม่ครับ ชาวมายานั้นคิดปฏิทินขึ้นมาได้ตั้งแต่สองพันปีที่แล้ว แถมยังคำนวณวันเดือนปีเดินหน้าถอยหลังไปถึงสี่ร้อยล้านปี สี่ร้อยล้านปี!! รู้จักวงโคจรของดาวศุกร์(Venus)ราวกับตาเห็น ทั้งที่กล้องดูดาวก็ไม่มีใช้กัน นอกจากนั้นยังรู้จักดาวยูเรนัสและเนปจูนเสียด้วย ทั้งที่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยังเพิ่งรู้จักกันเมื่อไม่นานมานี้เอง


ปิระมิดของชาวมายาก็มีความหมายครับ ทุกด้านประกอบด้วยบันไดด้านละ 91 ขั้น รวมกับยกพื้นที่ฐานของปิระมิดอีกนับรวมเป็นได้ 365 ครบหนึ่งปีพอดี ถือเป็นปฏิทินถาวรอย่างหนึ่งของชาวมายา หนึ่งปีของชาวมายามี 13 เดือน และฤดูกาลอีก 4 ฤดู ไม่น้อยหน้าคนสมัยใหม่อย่างพวกเราซักนิด

ถ้ายังมีจารึกเก่าๆเหลืออยู่บ้าง เราก็อาจจะทราบเรื่องราวของชาวมายาได้มากกว่านี้จริงมั๊ยครับ? เอางี้ก็ได้ ถ้านักวิชาการเค้าเถียงกันเรื่องที่มาของชาวมายากันนัก เรามาดูในตำนานเก่าแก่ของพวกเค้าซิว่า จริงๆแล้วชาวมายานั้นสืบเชื้อสายมาจากไหนกันแน่ ปิระมิดของชาวมายาก็มีความหมายครับ ทุกด้านประกอบด้วยบันไดด้านละ 91 ขั้น รวมกับยกพื้นที่ฐานของปิระมิดอีกนับรวมเป็นได้ 365 ครบหนึ่งปีพอดี ถือเป็นปฏิทินถาวรอย่างหนึ่งของชาวมายา หนึ่งปีของชาวมายามี 13 เดือน และฤดูกาลอีก 4 ฤดู ไม่น้อยหน้าคนสมัยใหม่อย่างพวกเราซักนิด




ดินแดนมายาโบราณ ประกอบไปด้วยส่วนๆต่างหลายส่วน ถ้านับส่วนใหญ่ๆ เราสามารถแยกแยะแหล่งความเจริญได้ 3 กระจุก โดยนับตามโบราณสถานและศาสนพิธีที่มีอยู่ ส่วนแรก ประกอบด้วยเมืองสำคัญๆ คือ ติกัล(Tikal) เพเตน(Peten) และปาเลงกอ(Palenque) สามจุดนี้แหละครับที่ถือเป็นดินแดนโบราณของชาวมายาอย่างแท้จริง ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของบริเวณดังกล่าวนี้ เป็นป่าทึบ และหินใหญ่น้อยมากมาย ส่วนที่สองอยู่ทางตอนเหนือของทวีปครับ ประกอบด้วยคาบสมุทรยูคาทาน เมืองสำคัญที่มีก็ ชิทเซนเช่น อิทซา(Itzar) อักซ์มัล(Uxmal) มายาปัน(mayapan) แหละตอนสุดท้ายอยู่ทางใต้ติดกับพรมแดนของฮอนดูรัส มีเมืองที่สำคัญคือ โคปัน(Copan) ครับ

ดินแดนสำคัญที่สุดของพวกเขาอยู่ตรงใจกลางอาณาจักรครับ เป็นส่วนที่เรียกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ ประกอบด้วย เมืองติกัลและปาเลงกอ มีสิ่งก่อสร้างทางศาสนาอยู่มากมาย อาทิเช่น ปิระมิด เทวสถาน ศิลาจารึก และอื่นๆอีกบานตะเกียง บริเวณส่วนนี้เป็นสถานที่ต้องห้ามครับ สงวนไว้ให้สำหรับ "พระเจ้า" โดยเฉพาะ คนที่จะเข้าไปได้คือเหล่านักบวชและผู้ได้รับอภิสิทธิเท่านั้น พลเมืองธรรมดาจะอาศัยกระจัดกระจายอยู่ตามแนวป่ารอบนอกเทวสถานออกไป พวกเขาจะเข้ามาได้ก็เฉพาะในตอนที่มีพิธีบวงสรวงหรือว่างานรื่นเริงประจำปี เท่านั้นเอง

ภาพเทวสถานแห่งเมืองติกัล

ทีนี้เราลองมาดูสถาปัตยกรรมของชามายากันดูบ้างครับ ว่าน่าพิศวงสักเพียงไร...

ปิระมิดของชาวมายามีความสูงกว่า 150 ฟุต ประกอบด้วยบันไดทางขึ้น 4 ด้าน บนยอดปิระมิดจะแบนราบแตกต่างไปจากของอียิปต์ที่ปลายแหลม ปิระมิดของชาวมายาอีกแห่งอยู่ที่เมืองติกัลครับ อันนั้นสูงตั้ง 212 ฟุต บนยอดวิหารมีห้องหับอยู่มากมาย มีแท่นบูชากับหินแกะสลักอักษรภาพเป็นจำนวนมาก ตามฝาผนังของวิหารก็มีรูปสลักเต็มแทบทุกด้าน ภาพเหล่านี้ทำให้นักสำรวจรู้สึกฉงนฉงายไปตามๆกัน เพราะมันบอกอะไรประหลาดๆ ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังอารยธรรมมายาให้เราทราบได้แยะเชียว

นอกจากนี้ ตามเมืองใหญ่น้อยยังมีป้อมปราการสร้างเป็นเชิงเทิน และมีสิ่งก่อสร้าง ที่เรียกว่า วั่ง อีกหลายแห่ง เช่นเมืองติกัล มีวังซึ่งเป้นอาคารสี่ชั้น ประกอบด้วยจำนวนมากมายถึง 42 ห้อง เมืองอักซ์มัลก็มีโรงแสดงละครขนาดมหึมา นอกจากนี้ยังมีวิหารของพวกนักรบและปฏิทินขนาดใหญ่อันโอ่อ่า เร็วๆนี้เองก็มีการค้นพบเมืองใหม่ของชาวมายาที่ชื่อว่า ซิบบิลคัลทูน(Dziblchantun) มีวิหารขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า The Temple of the Seven Dolls ดูเอาเถอะครับ ชาวมายารู้จักสร้างสรรค์ศิลปกรรมเหล่านี้ได้อย่างร ทั้งที่เครื่องมือผ่อนแรงก็ไม่รู้จัก รถเทียมม้าเทียมลาก้ไม่รู้จักใช้ ทำยังกับมีรถยนต์ขนส่งหรือเครนยักษ์ใช้ซะอย่างนั้นแหละ



อ่างเก็บน้ำและเทวสถานบริเวณคาบสมุทรยูคาทาน




แต่ยังครับ ยังมีสิ่งที่น่าตกใจกว่านั้น นักโบราณคดียังได้พบเขื่อนและอ่างเก็บน้ำถึง 13 แห่งในเมืองติกัล ติดกับบริเวณศักดิ์สิทธิ ต่อมาก็พบท่อส่งน้ำและทางระบายน้ำชั้นดีที่ทำเอาการประปาสมัยนี้ยังอาย ใครครับ? ใครกันสอนให้ชาวมายาประดิษฐ์สิ่งเหล่านี้ขึ้นเมื่อ 2000 เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว

แต่สุดยอดของความมหัศจรรย์มันอยู่ตรงนี้ ครับ อาณาจักรมายาที่เจริญรุ่งเรืองมานาน กลับล่มเอาซะดื้อๆเมื่อราวศตวรรษที่สิบ กล่าวคือชาวเมืองทั้งหมดพากันหายไปหมดครับ ไม่ทราบว่าอพยพไปไหนเหมือนกัน ทิ้งไว้แต่สิ่งก่อสร้างที่ยังทำไม่เสร็จและเสาแกะสลักค้างๆคาๆไว้อยู่ทั่ว บริเวณ พวกเค้าอพยพไปไหน? อาณาจักรใหญ่ขนาดนั้นล่มสลายในพริบตาจนเหลือแต่คนพื้นเมืองกลุ่มเล็กๆได้ อย่างไร จนถึงทุกวันนี้นักวิชาการก็ยังขบไม่แตกเลยครับ ว่าสาเหตุนั้นมาจากไหนกันแน่
นักโบราณคดีสันนิษฐานกันไปต่างๆนาๆ บ้างก็ว่าเกิดการปฏิวัติของชาวนา เพราะทนการกดขี่ของชนชั้นปกครองไม่ไหว บ้างก็ว่าเกิดจากโรคระบาด บ้างก็ว่าเพราะโดนรุกรานจากคนต่างเผ่า แต่ละข้อแต่ละคนร่ายรายละเอียดมาเป็นปึกๆ คงเล่าตรงนี้ไม่หมดแน่ สรุปก็คือแต่ละข้อสันนิษฐานนั้นไม่มีอันไหนเข้าเค้าเลยครับ หลักฐานสนับสนุนแทบไม่มีเลย



ภาพจากสารคดีจำลองชีวิตชาวพื้นเมืองในอดีต

ตาอีริค ฟอน ดานิเก้น ผู้เชื่อทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศได้ให้ข้อสังเกตเอาไว้ว่า ในเมื่อชาวมายาสืบเชื้อสายและเรียนศิลปวิทยาการมาจากพระเจ้า ถ้าอย่างนั้น จะเป็นไปได้ไหมว่า พระเจ้าของชาวมายา ก็คือมนุษย์ต่างดาวจากดาวดวงอื่น ที่ลงพื้นโลกมาชั่วคราวเพื่อปฏิบัติภารกิจบางอย่าง พอเสร็จงานแล้วก็เสด็จจากไป

เป็นข้อสันนิษฐาณที่น่าคิดเหมือนกัน ชาวมายารู้จักดาวศุกร์เป็นอย่างดี ตลอดจนสามารถคำนวณล่วงรู้ถึงระยะของวงโคจร ของดาวศุกร์ได้ อย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยปราศจากกล้องดูดาวหรือเทคนิคอื่นใด คนโบราณอย่างชาวมายาจะรู้ได้อย่างไรล่ะครับ ถ้าไม่ใช่ผู้ชำนาญการเกี่ยวกับดาวดวงนี้มาบอกเอง

ปฏิทินของชาวมายาเล่าครับ เค้าคำนวณวันเดือนปีย้อนหลังไปเป็นล้านๆปีอย่างแม่นยำน่าทึ่ง ไหนจะการสร้างปิระมิดอีกล่ะ ชาวมายาเป็นแค่ชนพื้นเมืองกลุ่มเล็กๆนะครับ ไม่ใช่มหาอำนาจอย่างอียิปต์ เค้าไม่มีทางเกณฑ์ไพร่พลมากมายมาสร้างสิ่งมหึมาขนาดนั้นได้ หินแต่ละก้อนหนักเป็นสิบๆตัน เค้าเอาอะไรมาตัด มาสะกัดให้เป็นสี่เหลี่ยมผิวเรียบแล้ววางซ้อนกันได้แบบนี้ แปลนของปิระมิดก็ถูกออกแบบไว้อย่างดี ชนิดที่ว่าสถาปนิกกับวิศวกรรสมัยนี้ จะสร้างตามโดยอาศัยเครื่องมือแบบที่คนพื้นเมืองใช้นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย เลยแม้แต่นิดเดียว หากชาวมายามีครูลงมาสอนศิลปวิทยาการจริง ครูของพวกเค้าจะต้องมีความรู้กว้างขวาง และมาจากดินแดนที่เจริญพร้อมด้านวิทยาการอย่างไม่ต้องสงสัย

ผมได้กล่าวไปแล้วในตอนต้นว่า บริเวณศักดิ์สิทธิกลางอาณาจักรนับเป็นที่ตั้งของ ปิระมิด วิหาร เทวาลัย ซึ่งสร้างขึ้นสำหรับพระเจ้าโดยเฉพาะทั้งสิ้น ส่วนชาวพื้นเมืองจะอยู่ในบริเวณรอบนอกออกไป …เป็นไปได้หรือไม่ว่า บริเวณที่กล่าวถึงเป็นเขตหวงห้าม เพราะพระเจ้าที่อาจเสด็จมาจากดาวดวงอื่นนั้น จำกัดบริเวณนั้นไว้กระทำกิจบางอย่าง โดยยอมให้ชาวพื้นเมืองประมาณหยิบมือเช่นพวกพระมาเป็นลูกมือช่วยงาน ต่อมาเมื่อพระเจ้าทำงานเสร็จและจะกลับสู่ที่ๆพระเจ้ามา พระเจ้าของชาวมายาก็อาจจะหอบชาวมายาเหล่านี้กลับไปด้วย หรือไม่ก็ทำให้ชาวมายาหายไปด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เพื่อให้ความลับยังเป็นความลับต่อไป คนที่รักษาความลับได้ดีที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นคนตายหรอกครับ

ข้อน่าสังเกตอีกอย่างเกี่ยวกับอาณาจักรมายา ก็คือว่า เมืองใหญ่ของพวกเขา เช่น ติกัล ตั้งอยู่ในป่าลึก ห่างไกลจากอ่าวฮอนดรัสถึง 109 ไมล์ อ่าวแคมปัช 162 ไมล์ และห่างจากมหาสมุทรแปซิฟิกตั้ง 240 ไมล์ มันผิดวิสัยการตั้งรกรากของชุมชนมนุษย์นะครับ เพราะคนโบราณมักตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้แหล่งน้ำเป็นหลัก อารยธรรมของเราก็มาจากลุ่มน้ำใหญ่ทั้งนั้น (คงนึกออก ถ้าท่านไม่พากันตกประวัติศาสตร์) แต่ชาวมายากลับต่างออกไป พวกเขาดันไปตั้งบ้านเมืองในป่าลึก ทำอ่างเก็บน้ำขนาดมหึมาตั้งสิบสองสิบสามแห่ง แค่นี้ก็ลำบากพอแล้ว พวกเขายังหาเหาใส่หัวอีก โดยการทำทางระบายน้ำเข้าสู่ตัวเมือง ทำไมชาวมายาที่ว่ากันว่าฉลาดๆจึงหาเรื่องยุ่งใส่ตัวให้วุ่นวายขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่ทุกอย่างที่พวกเขาทำ เป็นประกาศิตของ"พระเจ้า"

หลักฐานสำคัญเกี่ยวกับพระเจ้าของชาวมายานี่ก็อีก รูปสลักภาพวาดแต่ละภาพล้วนสวยงามตามเอกลักษณ์แบบศิลปมายา แต่ก็น่าแปลกที่พระเจ้าของพวกเค้าล้วนพิลึกกึกกือเป็นที่สุด บางรูปเป็นรูปพระเจ้าขับยานอวกาศ บางภาพเป็นรูปสาวกของพระเจ้ากำลังปราบปีศาจร้าย และอาวุธที่อยู่ในมือ นักโบราณคดีต่างลงความเห็นว่า มันคือปืนอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อสองพันกว่าปีก่อนมีปืนใช้กันแล้วหรือครับ? ภาชนะบางชิ้นของพวกเขาก็เช่นกัน ถ้วยบางชิ้นมีภาพวาดของมนุษย์สวมหมวกอวกาศ โอย…จะบ้าตาย

เรื่องราวเหล่านี้น่าสนใจมาก และมิใช่แต่ดินแดนมายาเท่านั้น หากแต่พวกอินคาในอเมริกาใต้ ชาวเมโสโปเตเมีย หรือแม้กระทั่งชาวียิปต์โบราณ ก็มีหลักฐานว่ามนุษย์ต่างดาวเคยลงมาเยี่ยมเยียนพวกเขาแล้วทั้งนั้นเมื่อหลาย พันปีก่อน แล้วท่านล่ะครับ คิดอย่างไร?

พญางูบินของชาวมายา



ที่มา : http://www.mythland.org

10 สุดยอด อารยธรรมโบราณ

1. มู ทวีปแห่งมารดร (Ancient Mu or Lemuria)


ก็เห็นพ้องต้องกันในวงการลึกลับศาสตร์แหละครับว่า อาณาจักรที่เก่าแก่ยืนนานที่สุดในโลกที่เป็นอารยธรรมของ"มนุษย์โลก"จริงๆนั้น คือ มู:ทวีปแห่งมารดร ระยะเวลาของอาณาจักรนี้ว่ากันว่า
ย้อนหลังไปถึง 78,000 ปีที่แล้ว บนทวีปขนาดใหญ่ที่มีชื่อตามภาษาโบราณว่า มู หรือที่คนสมัยใหม่เรียกเลมูเรียตามชื่อของลิงชนิดหนึ่ง และเจริญรุ่งเรืองอย่างยาวนานมาอย่างน้อยก็ถึง 52,000 ปีที่ผ่านมา แต่ก็มีบางแหล่งเหมือนกันครับที่ระบุว่า มูไม่ได้มีอายุยืนยาวถึงขนาดนั้น แต่ก่อตัวเมื่อประมาณ 26,000 ปีก่อนและพังพินาศลงด้วยภัยพิบัติPole shift หรือขั้วโลกพลิกเมื่อ 24,000 ปีที่ผ่านมาแล้ว สาเหตุประการหลังนี่แฟนๆเรื่อง MMR คงคุ้นๆกันอยู่

อย่างไรก็ตาม มูมิได้สูงส่งด้วยวิทยาการไฮเทคดังอาณาจักรหลังๆที่รุ่งเรืองตามมา แต่อารยธรรมของมูเป็นอารยธรรมด้านจิตวิญญาณสังคมของอาณาจักรนี้บูชาความรู้และศัรทธาโดยเฉพาะ ซึ่งต่างจากแอตแลนติสที่สัญลักษณ์ของอาณาจักรนี้คือเทคโนโลยีและนวัตกรรม เรื่องราวของมูผมเรียบเรียงเอาไว้แล้ว (และก็ยังไม่จบ -_-")ถ้าสนใจก็หาอ่านกันได้ ถ้าใครที่อยากอ่านจนจบก็รออีกหน่อยนึงนะครับ เอาเป็นว่า นางงามผู้ครองมงกุฏ Top Ten ของเราก็คืออาณาจักรมูนี่แหละ




2. แอตแลนติสโบราณ (The Ancient Atlantis)


ว่ากันว่าไม่นานนักหลังจากที่ทวีปมูจมลง ความเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาได้ทำให้แผ่นดินแห่งนึงผุดขึ้นบริเวณคาบสมุทรแปซิฟิค อารยธรรมที่รุ่งเรืองของมูได้หายไปกับภัยพิบัติครั้งนั้น แต่ไม่ได้รวมถึงอาณาจักรอีกแห่งที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นในช่วงปลายยุคของมู

ดินแดนที่ว่าเป็นเสมือนอาณาจักรในม่านหมอกในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติครับ เพราะจนถึงปัจจุบันนี้ ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่ามันตั้งอยู่บนดินแดนไหนของโลก อย่าว่าแต่ที่ตั้งเล๊ย... อาณาจักรนี้จะมีตัวตนอยู่จริงหรือเป็นเพียงตำนานก็ยังหาคนมายืนยันไม่ได้ด้วยซ้ำ ถึงกระนั้นคนส่วนใหญ่ก็ยังเชื่อครับ ว่าครั้งหนึ่งโลกของเรา เคยมีอาณาจักรที่สูงส่งด้วยวิทยาการแต่ประสบความพินาศเพราะภัยสงครามนามว่าแอตแลนติสอยู่จริงๆ เชื่อกันว่าอาณาจักรแอตแลนติสมีความก้าวหน้าทางวิทยาการเอามากๆ ก้าวหน้าชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อนนับแต่โบราณกาลจวบจนปัจจุบัน โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการทำลายล้างเป็นเทคโนโลยีที่เป็นตัวแทนของแอตแลนติสเลยทีเดียวครับ เหตุผลที่อาณาจักรโบรารแห่งนี้เน้นเทคโนโลยีด้านสงครามก็อาจเป็นเพราะ ต้องปกครองอาณานิคมที่กระจัดกระจายอยู่รอบโลก แถมยังต้องทำสงครามกับทวีปอื่นๆที่รุ่งเรืองมาในยุคไล่ๆกัน ตำราบางเล่มกล่าวถึงการรบกันระหว่างแอตแลนติสกับอาณาจักรทางฝั่งอินเดียโบราณไว้อย่างน่าดูชม ดูเหมือนภาษาสันสกฤตโบราณจะขนานนามของชาวแอตแลนติสว่า อัศวินหรือนักรบ อืมห์... ก็ตรงตัวดีอยู่แหละ

หลายตำนานกล่าวตรงกันว่า แอตแลนติสมาถึงจุดหายนะเพราะภัยสงคราม เนื่องจากการใช้อาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงอย่างไม่ยั้งคิดนั่นเอง จุดจบของแอตแลนติสน่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับมนุษย์เราในปัจจุบันได้ไม่มากก็น้อย ตราบที่เรายังไม่ยุติการแก้ปัญหาด้วยกำลัง หรือกระหายสงครามอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้




3. อาณาจักรโบราณแห่งชมพูทวีป (Rama Empire of India) 




นับว่าฟ้ายังเข้าข้างอยู่ไม่น้อย ที่ตำรับตำราโบราณของทางอินเดียไม่ได้ถูกม้วนหายไปกับวังวนทางประวัติศาสตร์มากนัก หลายๆชาติต้องพบกับความเจ็บปวดใจ ที่บันทึกโบร่ำโบราณถูกทำลายไปเสียหมดสิ้น ถ้าไม่เพราะภัยพิบัติก็ฝีมือมนุษย์ด้วยกันนี่แหละครับ การเผาตำรา-ฆ่านักปราชญ์ของฉินสื่อหวง(จิ๋นซีฮ่องเต้) การเผาคัมภีร์สำคัญของอียิปต์ตามคำสั่งของผู้นำอิสลาม หนังสือโบราณของมายา อินคาหรือแม้แต่ชาวเกาะอีสเตอร์ก็ถูกชาวตะวันตกเผาทำลายสิ้น เคราะห์ดีที่ทางอินเดียยังมีสิ่งเหล่านี้เหลืออยู่อีกเยอะ อย่างน้อยก็เยอะมากพอที่จะให้คนรุ่นหลังอ้าปากค้างอย่างอัศจรรย์ใจ ในความเป็นมาและเป็นไปของอาณาจักรโบราณแห่งดินแดนภารตะนี้ได้แหละน่า





บทเรียนในวิชาประวัติศาสตร์สอนเราว่า อารยธรรมอินเดียเริ่มขึ้นประมาณห้าพันปีที่ผ่านมา แท้ที่จริงอารยธรรมแห่งนี้ยาวนานย้อนหลังไปกว่าที่เรารู้จักมากนักครับ ก่อนหน้านี้ วงการประวัติศาสตร์รู้จักอินเดียโบราณในแง่ของอาณาจักรใหญ่ ที่เคยรบพุ่งกันอย่างเอาเป็นเอาตาย กับกองทัพของอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซีโดเนีย มีอารยธรรมที่รุ่งเรืองอย่างน่าทึ่ง ครั้นพอมีการตั้งไซต์ทางโบราณขึ้นที่หุบแห่งความตาย เฮนโจ ดาโร นักประวัติศาสตร์จึงเริ่มเอะใจเกี่ยวกับอาณาจักรโบราณแถบลุ่มน้ำสินธุแห่งนี้ เพราะหลักฐานทั้งหลายแหล่ที่พบล้วนบ่งบอกว่า ดินแดนแห่งนี้มีความเป็นมาและเป็นไปที่ไม่ธรรมดาเอาเสียจริงๆ

ที่ว่าไม่ธรรมดาคือการสร้างเมืองโมเฮนโจ ดาโร กับ ฮารัปปา (Harappa) นั้นดูเหลือกำลังของคนโบราณจะทำได้ เมืองทั้งเมืองถูกวางผังเอาไว้อย่างดีก่อนสร้าง ด้วยแปลนที่เหมือนกับวิศกรหย่ายสมัยศตวรรษที่ 20 เป็นคนเขียน แถมด้วยระบบระบายน้ำที่อัศจรรย์เหลือเชื่อ มัน advance ถึงขั้นที่ว่าทันสมัยและดีเยี่ยมกว่าเมืองหลวงของหลายชาติในเอเชียปัจจุบันเสียด้วยซ้ำ


4.อาณาจักรโอสิเรียน (Osirian civilization of the Mediterranean)


ในยุคสมัยของแอตแลนติสและ Rama Empire (ครั้นจะเรียกอาณาจักรแห่งราม ก็กลัวจะนึกถึงรามเกียรติกันอีก) มีอีกอาณาจักรนึงครับ ที่รุ่งเรืองมาในเวลาไล่เลี่ยกัน ท่ามกลางหุบเหวที่อุดมสมบูรณ์และพื้นที่ที่ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อาณาจักรโบราณนี้นับเวลาย้อนหลังไปได้ไกลกว่าราชวงศ์เก่าของอียิปต์เสียอีก นักประวัติศาสตร์เรียกขานชื่อของอาณาจักรลึกลับนี้ว่าโอสิเรียน หรือ Osirian civilization ครับ



ปูพื้นกันนิดสำหรับความเป็นมาของอาณาจักรนี้ อารยธรรมโอสิเรียนจะเกิดขึ้นไม่ได้อย่างเด็ดขาด หากขาดแม่น้ำไนล์ไป เอ๊ะ... แม่น้ำไนล์มาเกี่ยวอะไรด้วยงั้นเหรอครับ เรื่องมันเป็นงี้ แม่น้ำไนล์(ซึ่งในบางครั้งเรียกแม่น้ำ Styx)นั้นมีต้นกำเนิดจากทวีปอาฟริกา มีส่วนที่ไหลลงทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ทางตอนเหนือของอียิปต์ กระแสน้ำได้พัดดินตะกอนทับถม (รวมทั้งกร่อนส่วนที่กร่อนได้) จนเกิดเป็นหุบและทะเลสาบขนาดใหญ่ขึ้น ตรงบริเวณพื้นที่ระหว่างมัลต้าและซิซิลีในปัจจุบัน ครอบไปถึงซาร์ดิเนียในมหาสมุทรแอตแลนติคตรงบริเวณที่เรียกว่าเสาหินของเฮอร์คิวลิส (ช่องแคบยิบรอลตานั่นล่ะครับ ^.^ ) หลังจากที่แอตแลนติสจมลงสู่ก้นมหาสมุทร กระแสน้ำที่เปลี่ยนทิศจากมหาสมุทรแอตแลนติค ก็ได้ทำให้ดินแดนบริเวณอ่าวเมดิเตอร์เรเนียนจมลงอย่างช้าๆ กวาดเอาซากแห่งความรุ่งเรืองของอาณาจักรโอสิเรียนลงไปเฝ้าเทพโปเซดอนที่ก้นมหาสมุทรด้วย

(ด้านซ้ายมือคือภาพของรางยาวเหยียดบนพื้นหิน ลักษณะเหมือนรางสำหรับยานพาหนะบางประเภท อายุอานามก็หลายพันปีอยู่ครับ)

ในวงการโบราณคดีแล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่ามีซากเมืองจำนวนมาก(อย่างน้อยๆก็ 200 เมือง)ที่จมอยู่ใต้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อารยธรรมของอียิปต์เก่า, มิโนอันกับไมซีเนียนแห่งครีต รวมไปถึงเมืองน้อยใหญ่ของชาวกรีกก็รวมอยู่ในจำนวนนั้นด้วย มาถึงตรงนี้บางท่านก็อาจจะงงว่าทำไมตูข้าไม่เคยได้ยินชื่อของอาณาจักรหรืออารยธรรมที่ว่านี้มาก่อน อันนี้มีสาเหตุครับ เรื่องของเรื่องมันอยู่ที่นักคิดนักเขียนเป็นจำนวนมาก ได้เหมารวมเอาอารยธรรมโอสิเรียนให้เป็นหนึ่งในอารยธรรมของแอตแลนติส ทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่ หลักฐานที่หลงเหลือของอาณาจักรโอสิเรียนคือสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมา ที่มีขนาดไม่แพ้มหาวิหารในบาลเบ็คของเลบานอน เสาที่หลงเหลือจากแผ่นดินไหว แนวกำแพงยาวเหยียดใต้ก้นมหาสมุทร รวมไปถึงร่อยรอยของสิ่งก่อสร้างลึกลับในเกาะมัลต้าด้วยครับ


5. อารยธรรม ณ ทะเลทรายโกบี (Uiger Civilization of Gobi Desert)



เรายังไม่ได้ไปจากช่วงเวลาของแอตแลนติสและ Rama Empire นะครับ แต่ย้ายโลเกชั่นไปแถวทะเลทรายโกบี ที่ซึ่งมีทั้งเมืองโบราณและท่าเรือขนาดใหญ่ซุกอยู่ใต้ผืนทรายอันไพศาล นักโบราณคดีหลายกลุ่มได้พบเครื่องยนตร์โบราณอายุหลายพันปีในถ้ำบริเวณทะเลทรายโกบี เชื่อกันว่าเครื่องยนตร์เหล่านี้คือซากของยานบินวิมานะในตำนานโบราณของชาวภารตะ นิโคลาส โรเอริช นักสำรวจชาวรัสเซียเคยรายงานถึงการพบเห็นยานบินรูปร่างคล้ายแผ่น CD ในน่านฟ้าทางตอนเหนือของประเทศธิเบตเมื่อทศวรรษที่ 40 บางทีอาจเป็นไปได้ว่า ทายาทของอาณาจักรนี้ยังคงหลงเหลือแต่ซ่อนกายอยู่ที่ไหนสักแห่งใน Uiger area อันไพศาลทางตอนเหนือของทะเลทรายโกบีนี้ก็ได้นะครับ




6. เทียฮัวนาโค (Tiahunaco) 



เทียฮัวนาโคแห่งอเมริกาใต้ ดินแดนของชนเผ่าลึกลับที่ไม่ทราบที่มาหลายคนว่ากันว่า ชาวพื้นเมืองของเทียฮัวนาโคสืบเชื้อสายมาจากอาณาจักรมูครับ บ้างก็ว่าน่าจะเป็นแอตแลนติสเพราะดูจากสภาพภูมิศาสตร์แล้วมันเอื้อกว่า ใครจะถูกจะผิดเรายังไม่รู้ แต่หลักฐานที่เหลืออยู่อันประกอบด้วยโบราณสถานที่สร้างจากหินขนาดมหึมา รวมทั้งสถาปัตยกรรมการสร้างกำแพงจากหินหลายเหลี่ยม ซึ่งออกแบบไว้สำหรับป้องกันแผ่นดินไหวนั้น บอกกับเราว่า ชาวเทียฮัวนาโคมีความรู้เรื่องธรณีวิทยาและแนวแผ่นดินไหวใน Ring of Fire เป็นอย่างดี หรือความรู้เหล่านี้ได้รับมาจากบรรพชนชาวมูที่ล่วงลับไปแล้วครับ?

สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของเทียฮัวนาโคก็คือสถาปัตยกรรมครับ ทุกอย่างดูมโหฬารอลังการไปหมด ลำพังแค่ขนาดก็น่าทึ่งพออยู่แล้ว พอนักโบราณคดีศึกษาลึกลงไปอีก ก็ยิ่งทึ่งหนักเข้าไปใหญ่กับเทคนิคการก่อสร้างของพวกเขา การตัดหินขนาดใหญ่ เทคนิคการใช้คอนกรีตแบบโบราณเอย ปูนพลาสเตอร์แบบผสมเอย และเขียนแปลนที่ยอดเยี่ยมอดทำให้นักโบราณคดีงุนงงไม่ได้ว่า นี่เป็นผลงานของคนเมื่อหลายพันปีที่แล้วแน่หรือ? พูดถึงเรื่องนี้ก็อดงงไม่ได้นะครับ ว่าทำไมคนโบราณชอบสร้างอะไรที่มันใหญ่โตเกินจำเป็นนัก แล้วไอ้สิ่งที่สร้างขึ้นน่ะมันก็ขัดกับเทคโนโลยีและความเป็นอยู่ของพวกเขาเสียเหลือเกิน แหละดูเหมือนว่าคนโบราณจะเป็นยังงี้กันไปซะหมด เพราะนอกจากเทียฮัวนาโคแล้ว สิ่งก่อสร้างในอียิปต์ เกาะมัลต้า หรือส่วนอื่นๆในเปรู ก็ล้วนแต่โอ่อ่าอลังการไปเหมือนๆกันหมดซะอย่างนั้น

นอกจากตัวเทียฮัวนาโคเองแล้ว โบราณสถานอีกหลายแห่งในประเทศโบลิเวียล้วนแต่ชี้ให้เห็นว่าได้รับอิทธิพลจากเทียฮัวนาโค เช่นโบราณสถานทางตอนใต้ของคุซโกที่เป็นที่ตั้งของเมืองแห่งพระเจ้าโบราณ Puma Punku ซึ่งสวยงามและโอ่อ่าเอามากๆ ทุกสิ่งทุกอย่างมีขนาดใหญ่โตเสียจนอดคิดไม่ได้ว่าคนงานที่สร้างเมืองแห่งนี้น่าจะเป็นยักษ์เสียกระมัง เพราะหินแต่ละก้อน เสาแต่ละต้นมันใหญ่โตเสียจนเหลือเชื่อว่าลำพังแรงงานมนุษย์จะจัดการกับมันได้ เสาบางต้นมีขนาดร้อยกว่าตัน บางต้นมากกว่านั้น แถมแปลนของวิหารที่นั่นก็ดูทันสมัยต่างไปจากวิหารของคนโบราณเสียด้วยนะครับ ลองทัศนารูปกำแพงและซากที่เหลือของ Puma Punku จากภาพด้านล่างดูสิ แล้วเห็นด้วยกับผมหรือเปล่า?








7. อารยธรรมายา(The Mayans)


หากจะนับปิระมิดที่สวยงามมีชื่อเสียงนอกจากมหาปิระมิดแห่งอียิปต์แล้ว ก็มีปิระมิดของชาวมายานี่แหละครับที่พอจะทาบรัศมีได้ เป็นเรื่องน่าแปลกที่ปิระมิดของชาวมายาในอเมริกากลางดันไปเหมือนกับปิระมิดที่พบกันในแถบบ้านเรา คือปิระมิดน้อยใหญ่ในชวาตอนกลาง ชาวมายามาทำอะไรแถวบ้านเราหรือคนอินโดนิเซียไปหว่านอะไรไว้แถวอเมริกากลางตอนนี้ยังไม่มีคำตอบ เพราะลำพังแค่ปริศนาของปิระมิดนับแสนแห่งที่ซุกซ่อนอยู่ตามป่าของชาวมายานั้น ก็เป็นปัญหาที่นักโบราณคดีขบไม่แตกกันมากพออยู่แล้ว


บรรพบุรุษชาวมายากล่าวได้ว่าปราดเปรื่องในศาสตร์สำคัญหลายๆแขนง เป็นต้นว่า ดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ พวกเขามีวิชาความรู้ด้านวิศวกรรมที่ยอดเยี่ยม มีการสร้างคลองส่งทำ การทำชลประทานดังที่เหลือหลักฐานอยู่ในคาบสมุทรยูคาทาน ตลอดไปจนมีสิ่งแปลกๆผิดยุคในครอบครองอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น เครื่องประดับที่เป็นรูปเครื่องบินปีกสามเหลี่ยม กล่องสมบัติที่รูปร่างเหมือนเครื่องส่งวิทยุ หรือแม้แต่แผนที่ดาวซึ่งระบุตำแหน่งของดวงดาวเอาไว้เมื่อสองหมื่นกว่าปีก่อนไว้อย่างแม่นยำไม่มีผิดเพี้ยน น่าทึ่งดีนะครับ

นักคิดนักเขียนหลายเชื่อว่าอารยธรรมมายาคือสิ่งที่หลงเหลือมาจากแอตแลนติส เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์เอื้ออำนวยให้เชื่อเช่นนั้น แต่บางกระแสก็ว่าไม่ใช่ เพราะระยะเวลาของอารยธรรมทั้งสองห่างกันมากโข หากชาวมายาได้รับความรู้จากอารยธรรมที่สูงส่งกว่าจริง แหล่งความรู้ดังกล่าวควรจะมาจากนอกโลกมากกว่า เพราะตำนานของชาวมายาเองก็ระบุเอาไว้เช่นนั้น (ใครยังไม่เคยอ่านก็นี่นะครับ มายามืด เรื่องราวของชาวมายาที่ผมเก็บมาจากบทความของคุณ ไอคิว'45 เมื่อนานมาแล้ว)

เชื่อกันว่าชาวมายาเองมีสถานที่ที่เรียกว่า ห้องแห่งความรู้ ที่เก็บสรรพวิทยาของชาวมายาเอาไว้ น่าเสียดายที่ไม่มีใครทราบว่ามันอยู่ตรงไหน บางทีอาจอยู่ในปิระมิดซักลูก(ในบรรดานับแสนลูก)หรือสุสานใต้ดินซักแห่งนึง รอให้เราขุดพบและตีความเหมือนที่เคยทำกันมาแล้วกับสุสานของกษัตริย์นักบินปากัลในภาพด้านล่าง ห้องแห่งความรู้ของชาวมายาจะเก็บความรู้ไว้ในลักษณะใดยังไม่มีใครบอกได้ อาจจะเป็นจารึกภาษามายาหรือภาพวาดบนฝาผนัง หรือยิ่งไปกว่านั้นคือเก็บไว้ในสื่อลักษณะอื่นซึ่งเคยมีการกล่าวถึงบ่อยๆในตำนานของชาวมายา สื่อที่ว่ามีลักษณะคล้ายคริสตัลที่สามารถเข้ารหัสเก็บข้อมูลได้อย่างมหาศาลในทำนองเดียวกับ CD/DVD ในปัจจุบัน


ภาพเปรียบเทียบยานยุคปัจจุบัน และภาพของของปากัลกษัตริย์โบราณของชาวมายา กับ"พาหนะ"ที่ทรงใช้เดินทางเพื่อไปพบกับพระเจ้า







8. อาณาจักรของมังกรตะวันออก (Ancient China)



ปิระมิดในจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งคล้ายกับปิระมิดของชาวมายาเอามากๆ ปัจจุบันค้นพบกันแล้วนับพันลูก

ชนชาติจีนที่เรียกตนเองว่าชาวฮั่นนั้น ถือเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณที่สำคัญอีกแหล่งหนึ่งของโลก นอกจากประวัติศาสตร์อันยาวนานหลายพันปีแล้ว จีนในปัจจุบันยังนับเป็นมหาอำนาจชาติหนึ่งซึ่งนับวันจะมีอิทธิพลต่อประชาคมโลกมากขึ้นตามวันและเวลา เช่นเดียวกับอารยธรรมอื่นๆ โบราณสถาน, โบราณวัตถุ ตลอดจนบันทึกทางประวัติศาสตร์ของชาวฮั่นนั้น มีอยู่ไม่น้อยที่เชื่อมโยงกับอารยธรรมก่อนประวัติศาสตร์ ดูเหมือนว่าชาวจีนโบราณจะคุ้นเคยกันดีกับเรือที่สามารถลอยลำได้บนท้องฟ้า สนามพลังลึกลับจากพื้นโลก รวมทั้งหลักฐานสำคัญอีกสองสามชิ้น เช่น ประติมากรรม,หยก, ถั่วลิสง ซึ่งเชื่อมอารยธรรมจีนโบราณและอารยธรรมมายาเข้าไว้ด้วยกันอย่างแนบแน่น พวกเขามีอะไรหลายอย่างเหมือนๆกันทั้งที่อยู่กันคนละซีกโลก

นักมานุษยวิทยาหลายชุดได้ตีพิมพ์ผลงานการวิจัยเรื่องความเกี่ยวพันของอารยธรรมจีนและมายาเอาไว้ว่า คติความเชื่อของทั้งสองอารยธรรมมีส่วนคล้ายกันอย่างน่าประหลาด แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นคนเผยแพร่หรือใครเป็นคนรับถ่ายทอด เพราะถ้าดูจากระยะเวลาแล้วมายาอ่อนกว่าจีนอยู่โข แต่ก็นั่นแหละครับไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนมายืนยัน ทุกสิ่งจึงเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน(แม้ว่ามันเข้าเค้ามากๆจนเกือบนับเป็นข้อสรุปได้ก็ตามที) เป็นต้นว่าสัญลักษณ์ทางศาสนาของราชวงศ์ฉางที่ไปคล้ายกับศิลปะของชาวมายา การนิยมใช้เครื่องประดับที่ทำจากหยก ตลอดจนการบูชาเทพเสือดาวซึ่งเสือดาวของทั้งสองชนชาติไม่มีขากรรไกรล่างเหมือนกัน เป็นต้น นักมานุษยวิทยาบางท่านถึงกับระบุลงไปเลยว่า ชาวจีนเป็นผู้เผยแพร่อารยธรรมบางส่วนให้กับมายาในช่วง 500-300 B.C. โดยอ้างอิงช่วงเวลาจากบันทึกทางประวัติศาสตร์ของจีน อันเป็นช่วงที่นักบวชชาวจีนจำนวนมากเดินทางไปทั่วแผ่นดิน เพื่อหายาอายุวัฒนะให้กับฮ่องเต้


ต่อให้ตัดเรื่องของพระเจ้าจากอวกาศหรืออารยธรรมก่อนน้ำท่วมโลกออกไป จีนก็ยังนับเป็นผู้คนพบนวัตกรรมหลายๆอย่างของโลกอยู่ดี ชาวจีนโบราณรู้จักการทำกระดาษจากเยื่อไม้, มีการใช้แว่นสายตา, เลนส์ขยาย, ธนบัตร มานับเป็นพันปี พวกเขามีเทคโนโลยีทางสงครามที่น่าทึ่ง เช่น รู้จักใช้ประโยชน์จากดินปืนมาทำปืนใหญ่, จรวด, การนำน้ำมันดิบมาทำเชื้อเพลิงในแถบซินเกียง ที่ร้ายไปกว่านั้นคือราวปี 1960 นักโบราณคดีได้ขุดพบชิ้นส่วนเครื่องโลหะจำนวนมากที่ทำจากอลูมินัม ชิ้นส่วนเหล่านี้มีอายุหลายพันปีอยู่ครับ อ้อ... ชิ้นส่วนเหล่านี้ทำมาจากโลหะซึ่งได้มาจากกรรมวิธีที่ต้องใช้ไฟฟ้า!! หรือว่าชาวจีนก็เป็นเช่นเดียวกับอาหรับโบราณ ที่รู้จักการชุบโลหะด้วยไฟฟ้าก่อนหน้าวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ตั้งหลายพันปี เรื่องราวของแบตเตอร์รี่โบราณอายุสามพันปีหาอ่านกันได้ครับ


9. อิสราเอลกับเอธิโอเปียโบราณ (Ancient Ethiopia & Israel)



จากหนังสือโบราณของอิสราเอลคือไบเบิลและตำราเก่าแก่ Kebra Negast ของเอธิโอเปีย เราได้ทราบเรื่องราวของอารยธรรมโบราณที่มีเทคโนโลยีสูงส่ง ซึ่งเคยตั้งอยู่ในบริเวณดังกล่าว แม้ปัจจุบันเองก็ตามนะครับ ถ้ารื้อวิหารของยิวหรือมุสลิมออกดู(ชวนโดนฆ่าไหมเนี่ย คำพูดมัน) เราก็จะเห็นว่า วิหารหลายแห่งได้สร้างทับของเดิมในลักษณะของการต่อยอดเยอะแยะไปหมดเลยครับ ขนาดของวิหารเหล่านั้นพอๆกะบาลเบ็คในเลบานอนเลยทีเดียว นักโบราณคดีหลายคนให้ข้อสังเกตว่า อารยธรรมบริเวณนี้อาจมีต้นตอเดียวกับอาณาจักรโอสิเรียนซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกันก็เป็นได้

สถาปัตยกรรมโดยรวมของอาณาจักรดังกล่าวคล้ายกับของชาวฟินิเชียนมากครับ และว่ากันว่ามีวิหารขนาดยักษ์แห่งหนึ่งซึ่งสร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ในการเก็บหีบอาร์ค ช่ายครับ Ark of the Covenant ในตำนานนั่นเอง ว่ากันว่าคิงโซโลมอนทรงลงมือควบคุมการก่อสร้างด้วยพระองค์เอง แหม...นะ พระเจ้าประทานมาให้ทั้งทีนี่นา สำหรับใครที่เพิ่งเคยได้ยินชื่อของหีบอาร์คลองไล่หาอ่านในบทความเก่าๆของผมดูนะครับ สรุปให้ย่อๆแค่ว่า หีบดังกล่าวคืออุปกรณ์สื่อสารที่ชาวยิวโบราณใช้ติดต่อกับพระเจ้า (โมเสสคือหนึ่งในจำนวน User ของระบบสื่อสารโบราณดังกล่าวนี้ครับ อะแฮ่ม) จากคำบรรยายในคัมภีร์ หีบอาร์คมีลักษณะเหมือนเครื่องส่งวิทยุกำลังสูงที่มีขนาดใหญ่ ไม่แน่นะครับ เมื่อหลายพันปีก่อน อาจมีโบราณสถานซักแห่งในเอธิโอเปียที่ติดตั้งเครื่องส่งขนาดมหึมา และมีหีบอาร์คต่ออยู่ในลักษณะของเทอร์มินัลนับเป็นร้อยๆเครื่องก็ได้ ทำนองเดียวกับในวิหารของชาวอินคาที่มีท่อส่งสายสัญญาณอิเล็คทรอนิกส์ แต่นักโบราณคดีรุ่นก่อนๆไปสรุปว่ามันคือรางน้ำอย่างไรล่ะครับ





10. อาณาจักรมหาสุริยาแห่งแปซิฟิค (Aroi Sun Kingdom of the Pacific)


ฮะ ฮะ รู้สึกจะติดสำนวนลิเกยังไงไม่ทราบสิครับหมู่นี้ เอ่ยคำว่า Aroi หลายๆคนคงไม่คุ้น แต่ถ้าพูดถึงเกาะอีสเตอร์นี่รับรองว่าต้องคุ้นกันแน่ๆ เพราะจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า รูปสลักโมอายอันลือชื่อบนเกาะนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่ อาณาจักร Aroi นั้นไม่เคยถูกกล่าวถึงในวงการประวัติศาสตร์สากลเลยครับ เนื่องด้วยหลักฐานที่ออกจะเลื่อนลอย การขาดโบราณวัตถุหรือโบราณสถานต่างๆมาบ่งชี้ ดังนั้น อาณาจักรดังกล่าวจึงเป็นเพียงตำนานที่เล่าขานกันอย่างแพร่หลายในแถบหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิคเท่านั้น

เชื่อกันว่าเมื่ออาณาจักรมูล่มสลายลงราว 24,000 ปีก่อน เหล่าทายาทแห่งมูได้กระจัดกระจายออกตั้งรกรากกันทั่วโลก และจุดหนึ่งคือหมู่เกาะในบริเวณนี้นั่นเอง เรื่องราวของอาณาจักรสุริยาแห่งนี้ถูกเล่าขานสืบเนื่องกันมาในชนชาติ โพลินีเซีย, มาลานีเซีย, และไมโครนิเซีย โดยเฉพาะผู้เฒ่าผู้แก่ชาวโพลินีเซียนที่ให้ข้อมูลกับนักมานุษยวิทยาถึงอาณาจักรเก่าแก่ ซึ่งปกครองแถบนั้นมาหลายพันปีก่อนหน้าที่ชาวยุโรปคนใดจะมาถึง ซึ่งก็ท่าจะมีเค้าครับ เพราะนักสำรวจเองก็ได้พบปิระมิดตามเกาะเล็กเกาะน้อยเป็นจำนวนมาก บางเกาะมีวิหารรูปร่างประหลาดตั้งอยู่ บางแห่งที่พิสูจน์อายุด้วยคาร์บอน 14 แล้วพบว่ามีอายุย้อนหลังไปหกถึงเจ็ดพันปี เทคนิคที่ใช้ในการสร้างก็เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าชาวอินคาเหมือนกัน สิ่งที่น่าสังเกตประการหนึ่งคือ ชาวเกาะโบราณพวกนี้นิยมสร้างถนนขนาดใหญ่จากกลางเกาะมาสู่ชายหาดด้านใดด้านหนึ่ง จากนั้นก็สร้างรูปสลักมหึมาตามขอบถนนหรือไม่ก็บริเวณชายฝั่ง ลักษณะเดียวกับสนามบินในสิงคโปร์หรือฮ่องกงซะอย่างนั้น อ้อ... เมื่อเจาะลึกลงไปอีกนิด นักโบราณคดีพบว่า ชาวโพลินีเซียนในนิวซีแลนด์ เกาะอีสเตอร์ ฮาวาย และตาฮิติ ล้วนมีตำนานเกี่ยวกับมนุษย์ปักษีที่สามารถเหินฟ้าเดินทางไปมาระหว่างเกาะหนึ่งไปยังอีกเกาะหนึ่งได้ ไว้ว่างๆผมจะเอาเรื่องมนุษย์ปักษีมาเขียนให้อ่านนะครับ น่าสนใจทีเดียวแหละ


ที่มา : http://www.mythland.org/